Free Coffee

Black Canyon Coffee

Black Canyon Coffee

อันเนื่องมาจากช่วงนี้ที่ออฟฟิศมีเดโมงานให้ลูกค้า แถมมีกาแฟแจก (แน่นอนว่าเหลือ) เลยเป็นหน้าที่ของเราต้องเอามาจัดการ

กินตอนบ่ายหลังลูกค้ากลับหมดแล้ว ประหยัดได้วันละแก้ว สบายไป

 

อย่าใช้ชีวิตในความเกลียด

200px-Att-hate.svg

ผมเขียนเรื่องนี้ครั้งแรกใน Twitter ข้อความหนึ่ง

อย่ามีชีวิตอยู่กับความเกลียด โลกมันไม่สมบูรณ์ดังใจ มีสองทาง อยู่กับมัน หรือแก้ไขมัน เกลียดทั้งโลกแล้วโวยวายไปวันๆ มันไม่ได้อะไร

ผมเองเกลียดอะไรหลายๆ อย่าง และค่อนข้างแน่ใจว่าชีวิตนี้ เราทุกคนต้องมีอะไรหลายๆ อย่างที่เราเกลียดมัน ความเกลียดหลายๆ ครั้งแล้วเป็นเรื่องดี มันสร้างแรงขับดันให้เราสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่ตัวผมเองก็ต้องยอมรับว่าผมทำงานได้ดีที่สุดเมื่อกำลังอยู่ในอารมณ์โมโหนิดๆ เริ่มเกลียดบั๊ก

แต่การใช้ชีวิตในความเกลียดมันคนละเรื่องกัน

ผมไม่สนับสนุนให้ใครใช้ หรืออุทิศชีวิตไปกับความเกลียดชัง เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วแรงขับดันนั้นไม่ใช่การขับดันไปสู่ความสร้างสรรค์ ตรงข้ามมันเป็นแรงทำลายให้เรา และคนรอบข้าง

การอยู่กับสิ่งที่เราเกลียดไม่ใช่การยอมรับมัน ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าชีวิตเรามีอะไรหลายๆ อย่างที่เราควรทำมากกว่าที่เราจะทำได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเรา เลือกสิ่งที่เราเกลียดแต่เราแก้ไขได้ เลือกสิ่งที่เราแก้ไขได้ดี สิ่งที่เรามีความสุขกับการได้แก้ไขมัน

ผมไม่แคร์ว่าใครจะเกลียดอะไร เขาอาจจะเกลียดสิ่งที่ผมชอบ หรือตรงข้ามเขาชอบสิ่งที่ผมเกลียด กระนั้นแรงงานและเวลาอันน้อยนิดของเราบนโลกควรได้รับการใช้งานให้เป็นประโยชน์ในทางที่เราเลือก มากกว่าจะมุ่งแต่ทำลายบางอย่างที่เราเกลียดไป

 

Just-in-Time

ความจำเลือนลางเกี่ยวกับหนังเรื่องหนึ่งลอยเข้ามาในหัวผม

บทสนทนาตอนหนึ่งพูดถึงวัยเด็กชายที่รอแม่เพื่อจะมีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง แต่แม่ของเด็กชายทำงานหนักจนถึงเวลาดึกดื่น เด็กชายเฝ้ารอเวลาที่แม่จะกลับบ้านจนดึกดื่น แล้วแม่ก็กลับบ้านมาจริงๆ

แต่เด็กชายก็แกล้งทำเป็นหลับ ปล่อยให้แม่ของเขาเฝ้ามองเขา

เราหลายๆ คนเองก็ทำอย่างนั้น เราอยากได้รับความสนใจในเวลาที่เราอยากให้อีกคนหนึ่งมาสนใจ

แม้ว่าเวลาที่ล่วงเลยไปไม่ได้ทำให้ความอยากได้รับการใส่ใจนั้นลดน้อยลง แต่ความคิดที่แปลกประหลาดของมนุษบ์ก็ทำให้เรา แสดงท่าทีเมินเฉยต่อความใส่ใจเหล่านั้นไปเมื่อเราไม่ได้รับความใส่ใจนั้นในเวลาที่เราคาดหวัง

อาจจะเป็นเพราะความโกรธ ความยิ่ง

หรืออาจจะไม่ใช่อะไรเลย…

 

Culture

ช่วงนี้มีประเด็นเรื่องวัฒนธรรมในองค์กรเข้ามาให้รับฟังเยอะ พบว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งในการบริหารงาน (อ่านเพิ่มเติมได้ที่[บล็อก iPatt](http://www.ipattt.com/2009/wellnet-project/))

ผมไม่ได้เรียนสายบริหาร แต่การดูแล Blognone ก็พบอะไรแนวนี้ได้อย่างน่าประหลาดเหมือนกัน เพราะ Blognone เองนั้นเติบโตมาจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่ค่อนข้างมีแนวทางคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด จนผมไม่แน่ใจว่าเราเป็นที่ที่รวมคนแนวเดียวกัน หรือเราเข้มแข็งพอที่จะโน้มน้าวให้คนเปลี่ยนมาทำตัวในแบบเดียวๆ กัน จนผมคิดว่าเราน่าจะอ้างได้ว่า Blognone เป็นเว็บที่มีวัฒนธรรมของสมาชิกที่เข้มแข็งในระดับหนึ่ง

อย่างน้อยที่สุด เราก็สร้างแนวทางที่บอกว่าการแบ่งปันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่ช่วยกันพูดถึงเรา ที่ช่วยกันบล็อกในเว็บส่วนตัวว่าท่านได้เขียนลง Blognone แล้ว จนวันนี้บทความมากกว่าครึ่งไม่ได้มาจากผมกับ mk อีกต่อไป!

แต่ยังมีอะไรที่ผมคิดว่าเราต้องสร้างกันเพิ่มอยู่ ผมลองไล่รายการสิ่งที่ผมอยากได้ออกมาคร่าวๆ ดังนี้

– __สังคมแห่งความรู้__ น่าแปลกที่เมืองไทยนั้นอยู่กันด้วยความเชื่ออย่างหนักมาก และเราไม่อยากเป็นเช่นนั้น เราให้คุณค่ากับข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลที่น่าเชื่อถือสูงเราจะให้ความสำคัญมาก เราอิงกับข้อเท็จจริงเป็นหลัก
– __พร้อมถูกตั้งคำถาม__ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทุกข้อมูลที่คุณใส่เข้ามาต้องพร้อมจะถูกตั้งคำถาม ต้องพร้อมที่จะถูกยันด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่า
– __ทนทาน__ ขณะที่ Blognone มีประเด็นหลักคือความสนุก (จริงๆ นะ) สนุกที่จะได้รับการแบ่งปัน และสนุกที่จะรับรู้เรื่องที่น่าตื่นเต้น สองข้อข้างบนจะเป็นไปได้ เราคงอยากได้สังคมที่ทนทานต่อคำวิจารณ์ ทนทานเมื่อมีคนอื่นเข้ามาชี้ว่าข้อมูลที่เรานำเสนอไปนั้นมันผิด ผมไม่เชื่อว่าคุณค่ากับการเรียกร้องขี้น้อยใจสารพัด และการบ่นกระปอดกระแปด ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่กล้าตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และลงท้ายด้วยการอยู่ด้วยความเชื่อกันนั่นเอง

ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหมกับสังคมไทยที่อลุ้มอล่วย และเต็มไปด้วยความเชื่อที่บางครั้งดูไร้หลักการไปสักหน่อยในสายตาของผม แต่อย่างที่เขียนไปข้างบนๆ ครับ วัฒนธรรมมันไม่ได้สร้างโดยผม แต่มันสร้างโดยทุกคนที่อยู่ในชุมชนต่างหาก

เขียนมาขอให้ช่วยกันทำให้มันเกิดขึ้นดื้อๆ อย่างนี้แหละ