ครั้งเดียวในชีวิต

ช่วงเวลาตลอดชีวิต มีอะไรหลายๆ อย่างที่ผมเห็นคนจำนวนมากร่วมกันทำเพื่อเป็นความทรงจำ “ครั้งหนึ่งในชีวิต”

เราพยายามทำสิ่งเหล่านั้น เพราะโอกาสมันจะไม่หวนมาอีกครั้ง

ความทรงจำเหล่านั้นเหมือนสิ่งที่เชื่อมต่อเราเข้าหากัน แต่ถ้าเรากลับมามองความทรงจำที่เรามีแล้ว สิ่งที่เชื่อมความทรงจำของเราเข้ากับใครสักคนอาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ มันอาจจะเป็นแค่กาแฟสักแก้ว เค้กสักก้อน ขนมสักถ้วย

มันไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่อะไรที่เราจะไม่เจอมันอีกครั้งตลอดชีวิต

แต่มันก็เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เราจะได้สัมผัสกับช่วงเวลานั้น

 

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ….

    เคนใช้ ThinkPad

  • รุ่นไรว่ะ ตกสองทีจอกระจายเลย (thaithinkpad)
  • เหมยลี่ใช้มือถือจีนแดงมั๊ง หารุ่นไม่เจอ แต่มี GPS ด้วย
  • เหมยลี่ขับ Vios
  • เหมยลี่ใช้โน้ตบุ๊ก HP เหมือนจะ dv2 แต่ไม่แน่ใจ

บ้านที่เคนอยู่ อยู่ที่เจริญกรุง 32 ของจริงท้ายซอยนั้นเป็นสถานทูตโปรตุเกศ


View Larger Map

  • คุ้นๆ ว่าบ้านเหมยลี่อยู่ซอย 30 ห่างกันซอยเดียว แต่ไม่แน่ใจ
  • นั่งรถไกลโคตร แต่ดาดฟ้ามองเห็นรถไฟฟ้าอย่างใกล้
  • ถ้าห่างกันซอยเดียวทำไม “คนนี้พี่ขอ” มันนานจัง
  • Lumix อันนี้คงเห็นกันแล้วใน trailer
  • ไม่รู้ว่าโฆษณาแฝงรึเปล่า เพราะเห็นชัดมาก แต่ถ่ายมาเบลอมันทุกรูป
  • นั่งหาข้อมูล BTS Family Day ไม่พบ คงไม่มีจริง
  • หา McBright Comet ไม่เจออีกเหมือนกัน ดาวหางที่จะไม่กลับมาสู่โลกอีก??? (มีด้วยเรอะ?)
  • สองปีผ่านไปในแบบ not to scale
  • เหมยลี่รวยจัด ใช้ BB Curve + iBook

สุดท้ายนี้ ทั้งเรื่องจำได้ประโยคเดียว

ขอโทษด้วย ไม่กล้าโทรจริงๆ

ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะ…

 

อย่าเอามาห่ม

สิบกว่าปีก่อน เมื่อครั้งผมเริ่มมีความคิดอ่านเป็นของตัวเองในระดับหนึ่ง มีอะไรหลายๆ อย่างที่ผมอยากดึงว่าไว้กับตัว

ในฐานะนักเรียนนักศึกษา การได้ใบรับรองสักใบจากสักสถาบันที่ดูยิ่งใหญ่มีคนเก่งๆ ทำงานอยู่มากมายนั้นเป็นเรื่องที่เจ๋งมาก ผู้รู้สึกว่าตัวเองเจ๋งขึ้นมาทันที เมื่อได้ถือใบรับรองเหล่านั้น

กาลเวลาเปลี่ยนไป ความคิดเปลี่ยนไป

โลกที่กว้างขึ้นบอกผมได้หลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่เราคิดว่าเจ๋งอาจจะไม่ได้เจ๋งขนาดนั้น หลายครั้งความเจ๋งเหล่านั้นก็ไม่ได้พาให้เราพัฒนาตัวไปได้สักเท่าใหร่กัน

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยบอกผม เมื่อผมไปนั่งบ่นถึงความผิดหวังของสถาบันที่ผมคาดหวังไว้มากมายให้ฟัง คำตอบสั้นๆ ต่อคำบ่นยาวๆ มีเพียงว่า “เข้าไปเปลี่ยนมันสิ”

“เข้าไปเปลี่ยนมันสิ”…..

จากความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ ทุกสิ่งมีจุดบอดเสมอ ทุกสิ่งมีเรื่องให้เราพร่ำบ่น

ผมพบว่าความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่มีความบกพร่อง ความผิดพลาดมันอยู่ที่เราเลือกที่จะยอมแพ้กับความบกพร่องเหล่านั้นต่างหาก

เราคาดหวังถึงสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เราคาดหวังกับโทรศัพท์สักเครื่องว่ามันจะทำให้เราดูดีขึ้น เราคาดหวังกับปริญญาสักใบว่ามันจะบอกว่าเราช่างทรงภูมิเสียเพียงใด

ในโลกเทคโนโลยี ผมยังไม่เคยเจอโทรศัพท์ที่ดีพร้อม ในโลกการศึกษาผมยังไม่เคยพบสถาบันที่ไร้จุดบกพร่อง

มันอยู่ที่เราจะรอสิ่งที่ดีพร้อม แล้วนำมาเป็นเครื่องบอกว่าเราดีพร้อม หรือในความไม่พร้อมเช่นนั้น เราจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ด้วยมือของเรา แล้วเมื่อวันหนึ่ง เมื่อสิ่งเหล่านั้นมันดีขึ้น เราจะมองย้อนกลับไปแล้วอมยิ้มอย่างภูมิใจที่เคยได้เดินทางร่วมกับมัน

 

ว่าด้วยความดี

ผมว่าจะเขียนเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่มาถูกกระทุ้งอีกที่ตอนที่กระทู้ “ทำไมมีแต่คนเกลียด microsoft” ถูกขุดขึ้นมา

ผมไม่ทราบแน่ว่าความเกลียดแบบนี้มันเริ่มมาจากตรงไหน แต่คงไม่เกินไปถ้าผมจะคิดว่ามันเป็นเพราะไมโครซอฟท์ “ขาย” ซอฟต์แวร์ในราคาที่คนไทยบ่นๆ กันว่าแพง ที่น่าสนใจกว่าคือ กูเกิลนั้นดูจะอยู่ฝ่ายเทพเสมอจนน่าเอียนๆ

ผมเคยได้คุยกับ Vic Gundotra อยู่ครั้งหนึ่งเมื่อเขามาทัวร์เก็บความเห็นเกี่ยวกับ Android และโลกโมบายในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ (ตอนนั้นเขาแง้มเหตุผลที่ Google Maps มีภาษาไทยว่าเพราะมีคนใช้มาก “อย่างคาดไม่ถึง”)

เขาถามคนในห้องว่าทำไมกูเกิลจึงอยากทำ Android และอยากให้คนใช้ Android? มีคนในห้องตอบว่า “เพราะกูเกิลเป็นคนดี”

คำตอบที่กลับมา “ใช่ เราอยากเป็นคนดี … แต่สำคัญกว่านั้นคือเรามีแรงจูงใจทางเศรฐกิจ”

แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ….

ผมพบว่าคุณจะเข้าใจทุกอย่างได้ง่ายขึ้น ถ้าเรามองอะไรง่ายๆ เช่นถ้าเราตั้งคำถามว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เช่นไมโครซอฟท์, กูเกิล, ออราเคิล หรืออโดบีนั้นทำทุกอย่างเพื่ออะไร

ทุกบริษัทเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายหุ้นกันทุกวัน

กิจกรรมของบริษัทนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น ไม่มีอะไรยากไปกว่านั้น และผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นนั้นแทบทั้งหมดคือกำไร มีบ้างที่เป็นอย่างอื่น เช่นเมื่อครั้ง New York City Pension Funds เสนอให้กูเกิลทำตามหลักหกข้อเพื่อพิทักษ์สิทธิในการแสดงความเห็น ครั้งนั้นผู้เรียกร้องมาในนามของผู้ถือหุ้น 8 เปอร์เซนต์กว่าๆ (เข้าใจว่าไปล็อบบี้นอกรอบยืมเสียงหุ้นมา)

แน่นอน คนที่เชื่อว่า PowerPC ดีกว่า x86 เพราะมันเป็นจิตวิญญาณ อาจจะยับยั้งการเปลี่ยนมาใช้ x86 ได้ง่ายๆ ถ้าคุณมีหุ้นมากพอ

บริษัทต่างๆ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เพื่อที่จะมีหน้าไปบอกผู้ถือหุ้นได้ว่ารอบปีหนึ่งๆ พวกเขาทำอะไรกันบ้าง

ผลประโยชน์นั้นมีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นก็คงเป็นกำไรที่เห็นๆ กันอยู่ ระยะยาวนั้นคืออิทธิพลบริษัทในตลาด เพื่อผลกำไรในระยะยาวต่อไป

ผู้ถือหุ้นไมโครซอฟท์อดทนต่อสภาพตัวแดงเถือกตลอดหลายปีที่ผ่านมาของ Xbox ได้เพราะเล็งเห็นว่ามันจะเริ่มแสดงตัวเขียวในวันนี้ และหวังว่าปีหน้ามันจะเขียวมากๆ (แต่ถ้าไฟแดงยังเถือกอยู่อย่างนี้อาจจะลำบากหน่อย)

กูเกิลต้องการดึงผู้ใช้เข้าหาตัว ยิ่งคนใช้กูเกิลมาก โอกาสทำกำไรก็ยิ่งมาก กูเกิลเลยผู้ทุกคนไว้กับตัว Android รุ่นที่ผูกกับกูเกิลมากๆ นั้นแทบใช้อะไรไม่ได้ถ้าคุณไม่มี Google Account แถมด้วยการที่กูเกิลควบคุมแพลตฟอร์มได้ ทำให้หากกูเกิลคิดบริการแปลกประหลาดใหม่ๆ (เช่น Wave) ก็สามารถดันลงไปสู่เครื่องลูกข่ายได้โดยเร็ว (ผ่าน Android, Chrome) ทั้งหมดกลับมาเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันและกำไร

อโดบีนั้นก็ไม่ต่างกัน แม้จะมีกำไรจาก “ชุดพัฒนา” เสียมากกว่า การปล่อยให้แพลตฟอร์มหลักตกไปอยู่ในมือของกูเกิลหรือไมโครซอฟท์ ซึ่งจะทำให้อโดบีไม่สามารถเป็นผู้นำได้ ก็ยอมไม่ได้เช่นกัน อโดบีจึงทุ่มทุนมหาศาลดึงคนมาอยู่ใน Flash ไม่ว่าจะเป็น AIR หรือ Flex

ความดีในภาพเหล่านี้คืออะไรกัน ในโลกทุนนิยมความดีคือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น แม้มันจะดูเลือดเย็น แต่มันเป็นความจริง

แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งแล้ว หากบริษัทเหล่านี้ไม่ทำเพื่อกำไรสูงสุด ภาพที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่เศรษฐีรายใหญ่หมดตัวเสมอไป แต่กลับเป็นภาพของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของคนทำงานมายี่สิบสามสิบปีที่กำลังหายวับไปกับตา เป็นภาพของคนชั้นกลางธรรมดาๆ ที่ต้องหมดเนื้อหมดตัว…

ความดีในโลกธุรกิจคืออะไรกัน?