รักนี้ต้องฝ่าฟัน

นั่งทำ Drupal ให้กับทาง Software Park ฉลองวันพ่อ เพราะติดค้างไว้นานแล้ว ประเด็นมีแค่ง่ายๆ คือวีดีโอของ Flashnode มันไม่มีภาพ preview เช่นเดียวกับ YouTube ที่มีภาพวีดีโอมาสักหน่อย

หาไปหามาพบว่าเป็น feature request ที่ัยังอยู่ในสถานะ unassigned มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ดูเหมือนไม่มีใครมาเหลียวแลมันเท่าใหร่

ไม่เป็นไร ทุกอย่างในโลกโอเพนซอร์สแก้ไขได้ และในบั๊กก็มี work around ให้เราเสร็จสรรพ ก็เริ่มทำ node-flashnode.tpl.php เพื่อ override ปรากฏว่าไม่ติด นั่งงมอยู่นานก็เลยตัดสินใจลง Devel เพื่อเปิด ThemeDeveloper นั่งงงไปงงมาว่าทำไมไฟล์ที่ override มันไม่ทำงานกัน??? ไปๆ มาๆ ก็พบสัจธรรมว่าถ้าไม่มีไฟล์ node.tpl.php ก่อนมันจะ override ไม่ได้ อันนี้เป็นบั๊กที่ดูว่าจะต้องรอแก้ใน 7.x แล้ว

วิธีแก้ง่ายๆ คือ copy ไฟล์ตัวจริงมาทำเป็น override ในธีมของเรา แล้วค่อย override มันอีกทีด้วย node-flashnode.tpl.php

ทำเสร็จจะลองใช้งาน ทุกอย่างดูดีจนเริ่มอัพโหลดไฟล์ภาพ มันขึ้น error 0 ทุกครั้งไป โดยทั่วไปแล้วมันเกิดจากการตั้งค่าเมมโมรีใน php.ini ไม่พอ แต่ในเคสนี้ไม่ใช่แน่นอน นั่งอ่านไปเรื่อยๆ (ยาวฉิบหาย…) พบว่าจริงๆ มีหลายสาเหตุ แต่เหตุหนึ่งคือ File Widget มันไปตีกับ Devel ที่เปิดไว้แต่แรก ปิดซะก็เสร็จงาน

ปล. กูรักมึงจริงๆ ว่ะ Drupal

จบบล็อกด้วยเพลงที่ไม่เกี่ยวกัน

 

Time to say goodbye

Time to say goodbye หรือ Con te partirò เป็นหนึ่งในเพลงรักอันดับหนึ่งในดวงใจที่ผมฟังไม่ออก เพราะ Nussen Dorma มันดูโหดๆ ไป

แม้จะชอบเพลงนี้มาก แต่มันฟังไม่ออก และไม่เคยรู้ความหมาย รู้แต่ได้เวลาบอกลากันอยู่นั่นแหละ เคยจะเอามาแปลพบว่าเกินพลังไปมาก ภาษามันสวยเกินไป ฟังแบบงงๆ ต่อไป

 

How?

คำเตือน: อาจจะ spoil หนังเรื่อง Taking Woodstock

อาจารย์ผมท่านหนึ่งว่าเอาไว้ “ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสีขาวหรือดำ ทุกอย่างเป็นเทาๆ” คงเป็นความจริงที่เรารับรู้กันได้ ในสิ่งที่ดูเลวร้าย เรายังคงมักจะหาสิ่งดีๆ ได้เสมอๆ

ผมเคยคิดว่าคนเราทุกคน มีเส้นขีดอยู่ในสมองของเราเอง ว่าระดับใดกันที่เป็นความเลวร้าย ระดับใดที่เรารู้สึกแย่ และระดับใดที่เรายอมรับไม่ได้

น่าสนใจคือระดับที่รับไม่ได้นั้นบางคนกลับสูงจนหาไม่เจอ

คู่รักคู่หนึ่งที่ดูจะไม่มีความสุขนัก ฝ่ายหญิงทำทุกอย่างด้วยความเห็นแก่ตัว อีกฝ่ายก็ต้องทนอยู่เรื่อยมา นับสิบปี ครอบครัวมีฐานะที่ไม่ดีนัก หนี้สินอยู่ในระดับล้นพ้นตัว ทุกคนทำงานหนักเพื่อแก้ปัญหา

วันหนึ่ง ความเห็นแก่ตัวที่ทุกคนในครอบครัวรับรู้ก็เพิ่มเข้ามา เมื่อทุกคนพบว่าฝ่ายหญิงมีเงินที่แอบเก็บเอาไว้นับสิบปีเป็นจำนวนมหาศาลโดยไม่มีใครรู้กระทั่งสามี

สามีไม่พูดอะไรเมื่อพบความจริงนี้ มีคนถามว่าเขาทนได้อย่างไรกันกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา เขาตอบสั้นๆ

“ฉันรักเธอ…”

พูดถึงหนังเรื่อง Taking Woodstock เสียหน่อย จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังเจ๊งอีกเรื่องในปีนี้ (งบ 30 ล้าน ทำเงินได้ 8 ล้าน) แต่ดูเนื้อเรื่องแล้วก็ไม่น่าแปลกใจนัก ด้วยการเดินเรื่องเนิบๆ แปลกๆ แถมตัวหนังที่ขึ้นชื่อด้วยเทศกาล Woodstock แต่ดันแทบไม่ได้เห็นบรรยากาศใดๆ เลย แต่โดยรวมแล้วกลับน่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ จากเมืองที่กำลังจะตาย การเข้ามาของมหาชนจะช่วยได้ เงินมหาศาลจะหลั่งไหลเข้าม แต่ก็พร้อมกับความวุ่นวาย และขยะมหาศาล เราจะเลือกอะไรกัน? ถ้าเราไม่เห็นด้วย เราพร้อมจะไม่หาผลประโยชน์จากมันหรือไม่

ปล. หนังเรื่องนี้ติดเรต ฉ. มากๆ ทั้งเรื่องเพศและยาเสพติด (อันหลังนี่ผมดูเองยังตะหงิดๆ ว่ามันดูส่งเสริมยาเสพติด) ถ้าไม่สะดุดกับอะไรพวกนี้แลว มันจะเป็นหนังตลก….

 

Dedicate

หลายวันก่อนคุยกับ @warong เรื่องของความรัก ได้ฟังแนวคิดอีกอย่างหนึ่งที่ @warong อ้างมาอีกต่อคือ “ความรักเป็นความสามารถ”

บทสนทนาวันนั้นก็จบไป

แต่ที่ผมนึกขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือ ความรักกับชีวิตคู่นั้น น่าจะเป็นคนละเรื่องกัน…

แม้ว่าชีวิตคู่ที่ดีต้องมีความรักก็ตาม แต่ชีวิตคู่ก็อาจจะไปได้แม้ไม่ความรัก หรือแม้จะรักกันแค่ไหน แต่ชีวิตคู่ก็อาจจะไปต่อไม่ได้ (หรืออาจจะเริ่มไม่ได้ด้วยซ้ำ)

เรารัก (และรักในแบบคู่รัก) ได้หลายครั้ง บางครั้งก็พร้อมๆ กันจนชีวิตวุ่นวายกันบ้าง แต่กับชีวิตคู่นั้น ดูเหมือนความปรารถนาที่จะ “มีเพียงหนึ่ง” เป็นเรื่องที่ถูกฝังมาในหัวใจของเราทุกคน

ชีวิตคู่คืออะไรกัน?

สำหรับผมแล้วชีิวิตคู่คือการ “ให้” (dedicate) บางส่วนในชีิวิตของเราให้กับคนอีกคนที่จะร่วมชีวิตไปกับเรา

และชีวิตคู่ไม่ได้เริ่มต้นที่การแต่งงาน… การแต่งงานเป็นการประกาศการ dedicate ในระดับที่สูงขึ้น และตลอดชีวิต

ตลอดเวลาที่ชีวิตคู่พัฒนาไป เรา dedicate บางอย่างเพื่อ “คู่” ของเรา แน่นอน การมีแฟนไม่ใช่การมีคนดูหนังและกินข้าว แต่ถ้าหาเวลา และกิจกรรมบางอย่างที่ dedicate ให้แก่กันและกันไม่ได้เลย ก็คงยากที่จะนึกออกว่าคู่นั้นจะไปกันรอดได้อย่างไรกััน

แต่ละคนมีระดับที่ dedicate ต่างๆ กันไป บางคนอาจจะยกให้เวลาให้ทั้งหมดนอกเวลางาน บางคู่อาจจะมีพื้นที่ส่วนตัวมากสักหน่อย แต่มันคงต้องมีสักส่วนที่เป็นของกันและกัน

คนที่แค่คบหากันอาจจะไม่มีอะไรมากกว่าการไปดูหนังด้วยกันเดือนละครั้ง อาจจะดูไม่มีสาระอะไร แต่นั่นเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองให้กันและกัน

แล้วผมมานั่งบ่นเรื่องนี้ทำไมกัน?