กฏเหล็ก marketing online

เรื่องมันเริ่มจากมีน้องมาบอกว่ามีคนมาเนียนโฆษณา (ในที่ๆ ไม่ควรโฆษณา) ของ Blognone

ผมไม่เกลียดโฆษณาครับ ผมซื้อหนังสือหลายต่อหลายเล่ม เพื่อจะอ่านโฆษณาอยู่บ่อยครั้งด้วยซ้ำไป (แต่เลิกอ่านเพราะพบว่าหนังสือกระดาษมันรกบ้านมาก)

แต่ผมไม่เข้าใจว่านักการตลาดภาคออนไลน์ไปเอามาจากไหนกันว่าโฆษณาออนไลน์ ต้องเหมือนว่า “ไม่ใช่โฆษณา” ที่สุดเท่าที่มันจะเป็นโฆษณา????

ผมนั่งบ่นเรื่องนี้จนได้กฏเหล็กสามประการในการโฆษณาออนไลน์

  1. จงเป็นมิตร
  2. จงสัมผัสได้
  3. จงไม่ปิดบังความมีส่วนได้ส่วนเสีย

อินเทอร์เน็ตคือ “การสื่อสาร” ลืมการสื่อสาร “มวลชน” ไปซะ นี่คือการสื่อสารในรูปแบบ mass-customization คุณกำลังสื่อสารกับคนจำนวนมหาศาล และคุณกำลังสื่อสารกับเขาแต่ละคน “ตัวต่อตัว”

จง reply จงตอบ จงพดคุย อย่ายัด อย่าป้อน และอย่าอัด ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นกับแบรนด์และกำลังดำเนินการ ให้แจ้งต่อสาธารณะ

จงเปิดเผย จงแสดงตัว อย่ากลัวที่จะบอกว่าช่องทางไหนคือช่องทางประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ อย่าวิตกว่าถ้าซื้อแบนเนอร์โฆษณาแล้วจะไม่เนียน ตรงกันข้ามควรสร้างความ exclusive นั้นๆ ให้กับช่องทางสื่อสารเช่นนี้เสมอ

อย่าคิดว่ามันประหลาดถ้าจะถ่ายรูปเปิดตู้ container โทรศัพท์รุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าเมืองไทยเป็นตู้แรก รูปเบลอๆ หนึ่งรูปที่ exclusive ต่อช่องทางมีค่ากว่าภาพสวยๆ จาก Press Release มาก

จง share ทุกอย่าง วางรูปใน flickr หรือ picasa อัพโหลดวีดีโองาน Press ใน YouTube ถ่ายรูปความงามใต้เครื่องโน้ตบุ๊กแล้วส่งลง Twitpic

คนเขียนบล็อกหนึ่งเรื่องมักใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที โดยประมาณ (Exteen น่าจะมีตัวเลขนี้อยู่ ไปขอซื้อมาศึกษาซะดีๆ) วางข้อมูลทุกอย่างให้คนเขียนถึงแบรนด์ของคุณให้ได้ดีที่สุดในเวลาเท่านั้น จิ้มติด คลิก ลาก วาง แปะ วางรูปขนาดให้พอดีกับการใส่บล็อก ถ้าไม่ใช้เว็บแชร์รูปทั่วไป อย่าวางรูปคุณภาพระดับงานพิมพ์ 18MB เอาไว้โดยไม่วางรูปขนาด 60kB ไว้ด้วย

cut the crap ถ้าคนสนใจแค่ราคา จงบอกราคา อย่ากลัวที่จะบอกว่า “มือถือรุ่น XXX, เปิดราคา 13,200 บาท” เล่าที่เหลือ เมื่อว่างๆ อย่าใส่น้ำ

จะมีใครมาอ่านไหม?

 

feature

แถวที่ทำงานผมมีร้านไก่ทอดอยู่ร้านหนึ่ง มันโฆษณาด้วยป้ายขนาดใหญ่มาก ว่าไก่ทอดของเขาอร่อยจนไม่ต้องมีน้ำจิ้ม

ด้วยความสงสัยผมเลยไปซื้อกินสองชิ้นอยู่ครั้งหนึ่ง

หลังจากกินเสร็จ ผมนึกสงสัย ว่าทำไมมันไม่ให้น้ำจิ้ม มันน่าจะทำให้ไก่อร่อยขึ้นอีกเยอะ

วันนี้ผมนึกได้ สงสัยเจ้าของร้านมันจะเป็นโปรแกรมเมอร์

it’s not a bug, it’s a feature!

 

พ่อแม่เวร

ตรงๆ ง่ายๆ กับพ่อแม่คู่หนึ่ง

ไม่มีอะไรมากครับ วันนี้เบื่อๆ เลยไปหาหนังดู แถวบ้านผมมีแต่หนังพากษ์ไทยซะเยอะ ถ้าจะดูหนังเสียงในฟิล์มก็ต้องดูเรื่องที่คนดูเยอะๆ หน่อย ก็ได้ new moon มาหนึ่งเรื่อง ที่นั่งกลางโรงพอดี แม้จะไปซื้อตั๋วห้านาทีก่อนเริ่มฉาย เพราะเราไปคนเดียว

สิ่งที่พบน่าทึ่มากคือข้างๆ เป็นครอบครัวสี่คนลูกประมาณ 4-5 ขวบสองคน คงมาดูหนังฉลองวันพ่อ

ผมโตมาในสังคมที่สาวๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผมกลัวความไม่พร้อมของการมีครอบครัวมากๆ ทำให้ผมไม่เข้าใจพ่อแม่สองคนนี้เลยแม้แต่น้อย

ผมไม่คิดว่าคนรุ่นผม หรือรุ่นพ่อแม่น้องสองคนนั้น ซึ่งไม่น่าจะแก่กว่าผมสักกี่ปีจะคิดไม่ได้ ว่าเด็กห้าขวบเอาเข้าไปยัดไว้ในโรงหนังมืดๆ สองชั่วโมง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้น้องเค้าเงียบๆ ไม่รบกวนคนรอบข้าง

คิดได้ไงว่ะ ลากลูกมาดูหนัง???

ผมเข้าใจอยู่ว่า คนสองคนควรมีเวลาทำกิจกรรมอะไรอย่างนี้บ้าง แตนั่นหมายถึงคุณควรหาคนดูแลน้องเขาให้เรียบร้อย ก่อนที่คุณจะมาดูหนังหรือมหรสพอื่นๆ ที่ต้องการความเงียบเช่นนี้ ไม่ใช่การที่คุณพยายามให้คนในสังคมมาร่วมรับผิดชอบน้องเขาไปกับคุณ

ไม่นับว่า new moon ไม่ใช่หนังที่ผมไม่คิดว่าเด็กห้าขวบควรได้ดูเท่าใหร่

พ่อน้องสองคนรักลูกมากครับ ระหว่างเรื่องมีเว้นวรรคไปอธิบายเรื่องราวให้น้องสองคนได้เข้าใจอยู่เป็นระยะ

เวรจริงๆ