อยากได้ต้องทำเอง

เริ่มจากโครงการ mcineplex ที่เมื่อคืนนั่งทำ ทำให้ได้คิดว่าต่อจากนี้ อยากได้อะไร ต้องทำเองจริงๆ แล้ว

เดิมผมเคยเชื่อว่าทำแค่บางอย่างน่าจะพอ โลกมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ ของมันเอง

แต่โลกมันไม่เป็นอย่างที่หวัง

คงไว้เวลาต้องแก้อินเทอร์เน็ตไทยให้มันหายเน่าด้วยมือเราเองแล้ว

  1. ผมกำลังเตรียมเพิ่มข้อมูลใน mcineplex ให้เตือนโรงพิเศษ พวก honeymoon seat
  2. เบอร์โทรศัพท์ในเว็บมีไม่ครบ อาจจะต้องเอามาใส่เอง
  3. เล็งๆ Pantip อีกเว็บ ที่น่าจะแก้ให้มันดีขึ้นได้
  4. exteen มี mobile ยังหว่า?
 

แม่ง Cineplex

วันนี้ผมว่าจะไปดูหนัง และตระหนักได้ถึงความจริงเรื่องหนึ่ง คือระบบ IT ของโรงหนังในไทยห่วยไม่แพ้ชาติใดในโลก

แค่อยากรู้รอบหนัง คุณมีทางเลือกระหว่างทางเลือกที่ห่วย และทางเลือกที่ห่วยกว่า

Call Center ของโรงหนังไทยเป็นอะไรที่สร้างความหงุดหงิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ คุณคิดว่าเครือโรงหนังมีไม่กี่เครือแล้วจะทำให้คุณไม่ต้องจำเบอร์มากๆ นั่นแสดงว่าคุณยังไร้เดียงสา

ลองโทรไปเบอร์ของเครือโรงหนังดู คุณจะพบกับระบบ IVR หลายชั้น ระบบจะพูดชื่อแต่ละสาขาอย่างเนิบนาบ เมื่อคุณได้ยินรหัสสาขาที่คุณต้องการ คุณจะพบว่ามันหมดเวลาทำรายการ และต้องเริ่มทำรายการใหม่ทั้งหมด

สุดยอดคือเว็บโรงหนังไทย เข้าไปดูรายการหนังยากปานว่าจะไปขอดูฟรี (มาร์คเคยบ่นไว้ตั้งแต่ปี 2006 “แม่ง” ไม่ได้ดีขึ้นเลย)

ผมทนมาหลายครั้งเพราะ Movieseer มักให้ข้อมูลได้ดีพอ แต่เอาเข้าจริงก็มีปัญหา เคยเจอรอบไม่ตรงบ้าง มาวันนี้มันเล่นเอาผมไม่ได้ดูหนังที่อยากดูมานาน

และผมจะไม่ทนอีกแล้ว…

กลับมาบ้าน create folder ในชื่อโครงการ “แม่ง Cineplex” ไม่มีอะไรมาก ผมจะทำเว็บโรงหนังในแบบที่มันควรจะเป็น “แม่ง” เป็นคำสบถที่ผมร้องออกมาจริงๆ ตอนหารอบหนังไม่เจอ

กรอไปข้าง 6 ชั่วโมง… เสร็จแล้ว เข้าไปเล่นได้ที่ mcineplex.appspot.com

ตัว UI ใช้ JQuery น่าจะเวิร์คทั้ง iphone และ Android แต่ยังไม่ว่างเทส

เอาเป็นว่าใครมีปัญหาอะไรก็บอกมาแล้วกันครับ

ส่งท้ายว่า “แม่ง ถ้าโรงหนังมันทำดีๆ แต่แรกผมก็ไม่ต้องเหนื่อย…”

 

จังหวะที่ดีที่สุดของ GTalk

เมื่อวานไปนั่งโซ้ยบุฟเฟ่ห์สุกี้กับ @rtsp @khitichai คุยกันเรื่องหนึ่งคือ เราควรทำโปรแกรม share GTalk บน BB เพื่อดึงให้สาวๆ เลิกใช้ BBM อันนั้นคือกลุ่ม geek คุยกันขำๆ (แต่อาจจะมีคนทำจริง)

ผมกลับมาคิดเรื่องนี้แล้วพบว่าปี 2010 เป็นปีที่ดีที่สุดของ GTalk ด้วยปัจจัยหลักๆ

  1. Android กำลังแรง
  2. BB รองรับ GTalk
  3. Nokia หายเบลอหมัดจาก Android และ iPhone เริ่มตั้งท่าเป็นผู้เป็นคนขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
  4. iPhone OS 4.0

ทั้งหมดเป็นผลดีต่อ GTalk ทั้งสิ้น!

ในชั่วโมงนี้บริการ IM ที่ไม่เลือกข้างเช่น BB มีด้วยกัน 4 รายคือ AOL, Yahoo!, MSN, GTalk มีเพียงรายเดียวที่มี แพลตฟอร์มโทรศัพท์เป็นของตัวเองคือ Android ความแรงของ Android แทบจะบังคับให้ทุกคนที่ใช้งานต้องสมัคร GMail กันทุกคน ดีไม่ดีจะออน GTalk ทิ้งไว้ไม่รู้ตัว ส่วน MSN บน Windows Phone ถามผมตอนนี้ผมก็ตอบไม่ได้ว่ามันออนยังไง???

BB และ Nokia รองรับ Chat ของตัวเองคือ BBM และ Ovi Chat ตามลำดับ BBM นั้นแข็งแกร่ง แต่ใครใช้ Ovi Chat กัน? ข่าวดีคือสองระบบนี้ไม่กั๊กมาก รองรับ IM ของค่ายอื่นๆ มานานแล้ว สองค่ายนี้จะเป็นฐานให้กับผู้ใช้ MSN ไปในตัว เพราะต้องการระบบ chat ที่ต่อกับระบบอื่นๆ ได้ ผมเองก็คุยกับ BB ผ่านทาง MSN เสมอ ข่าวร้ายคือ MSN มันห่วย! ออนพร้อมกันหลายที่ไม่ได้ แถมกิน bandwidth ผมเจอสภาวะเปิดคอมทำงาน ปิดคอม แต่ลืมสั่งออนไลน์ในมือถือเสมอ จนทำให้ MSN ไม่สามารถใช้เป็นระบบ always on ได้

iPhone OS 4.0 จะเปิดให้ระบบ Chat ค่ายต่างๆ เป็นประชากรชั้นหนึ่งของ iPhone ได้เป็นครั้งแรก ด้วยทรัพยากรแห่งกูเกิล เราเดาได้ว่า GTalk น่าจะมี Client รุ่นสำหรับ iPhone OS 4.0 เร็วๆ นี้

ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ในไทยต้องการแค่การโปรโมทเพิ่มเติมอีกทางเท่านั้น  ลองสะกดจิตผู้ใช้ BB ทั้งหลายว่า “GTalk ออนใน BB แล้วไปคุยต่อหน้าเครื่องได้”, “GTalk ออนกี่เครื่องก็ได้ไม่ต้องกลัวหลุด..” หรือ “รอบตัวคุณมีแต่ Android แต่คุณก็คุยกับพวกเขาได้ผ่าน GTalk”

อ่อ อย่าลืมเอา banner มาลงใน Blognone นะครับ ผมเบื่อโฆษณาหลายตัวเต็มทีล่ะ

 

ถ้าคุณจะสร้าง Blognone ใหม่

โดยปรกติแล้วผมมอง Blognone เป็น “โทรโข่ง” สำหรับคนหลายๆ คน เพราะการที่ Blognone มีคนเข้ามากในระดับหนึ่ง และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถนำบทความขึ้น “หน้าแรก” ได้ จะเป็นเครื่องมือในการเพิ่มจำนวนผู้อ่านบล็อกหรือบทความที่เคยมีคนอ่าน 10 หรือ 100

แต่ต้องยอมรับว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้ว Blognone ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแนวทางเนื้อหาที่รับและไม่รับเนื้อหาบางประเภท และแนวทางการจัดการชุมชน ที่หลายๆ คนอาจจะไม่ชอบแบบที่ผมและ mk จัดการ

ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร ไม่ว่าคุณจะแค่อยากลองทำเว็บดู หรือไม่ชอบเว็บที่ผมทำ หรืออยากเอาแนว Blognone ไปทำเว็บเนื้อหาแนวอื่น แต่ถ้าคุณจะลองทำเว็บ “คล้ายๆ Blognone” ในแบบของคุณเอง นี่คือคำแนะนำจากผม

  1. หาแนวร่วมซะ: สิ่งที่ดีที่สุดในการทำ Blognone คือมีผมและ mk ทำร่วมกันคุณอาจจะหาแนวร่วมได้มากกว่า น้อยกว่า Blognone แต่ผมไม่แนะนำให้คุณทำคนเดียว รูปแบบของ Blognone เกิดจากการตกผลึกของการถกเถียง ทะเลาะ และสนับสนุน แนวคิดระหว่างกันจำนวนมาก อีกประเด็นหนึ่งคือถ้าคุณหาแนวร่วมตอนเริ่มต้นไม่ได้เลย เว็บในแนวที่คุณคิดอาจจะไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่แรก?
  2. สร้างสิ่งที่คุณอยากให้มี: อย่าเริ่มจากว่าทำเว็บบอร์ดแบบ Pantip แล้วคนเข้าเยอะ หรือทำ Digg แล้วดัง คำถามเริ่มจากมันไม่มีอะไรในโลกนี้ที่คุณอยากให้มี Blognone เองเริ่มจากหนังสือพิมพ์มันช้า และไม่ได้เนื้อหาเชิงลึก ผมตั้งคำถามว่าทำไมเนื้อหาแค่นี้เราต้อรออีก 24 ชั่วโมงเพื่อจะอ่าน ทำไมไม่เป็น 1 ชั่วโมง, 1 นาที หรือ 1 วินาที? ถ้าคุณอยากได้เว็บที่เต็มไปด้วย zealots, ถ้าคุณอยากได้อิสระภาพในการใช้ภาษาอย่างเต็มที่ (อันนี้จริงๆ ผมเคยจะทำเองนะ แต่หาแนวร่วมจริงจังไม่ได้เลย), หรือถ้าคุณอยากได้เว็บ IT ที่ไร้การเมืองโดยสิ้นเชิง ฯลฯ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว คุณมีอะไรบางอย่างที่ขัดใจ และเป็นแรงผลักดันให้คุณทำมันขึ้นมา
  3. ลงทุนให้น้อย อยู่ให้ยืด: อย่าลงทุนพัฒนาเว็บแรมเดือนให้สวยสด อย่าทำระบบประหลาดจนงงตัวเอง เริ่มให้ง่าย ทำให้เร็ว ถ้าเป็นเว็บเนื้อหา ลง CMS สักอันแล้วเริ่มเขียนเลย คำเตือนอย่างหนึ่งคือแรงที่คุณลงไปมากๆ ในช่วงแรก จะลดทอนแรงที่คุณจะดูแลเว็บในระยะยาว ทำให้มันง่ายๆ ไว้แล้วดูแลไปเรื่อยๆ ปรับเมื่อต้องปรับ แก้เมื่อต้องแก้ รื้อเมื่อต้องรื้อ ทนทานเมื่อไร้คนอ่านในช่วงแรก
  4. เนื้อหา เนื้อหา และเนื้อหา: เมื่อทำเว็บคุณต้องการเนื้อหา สร้างแนวทางของคุณ สร้างเนื้อหาของคุณ สร้างสไตล์ของคุณ อย่างที่บอก คุณกำลังทำสิ่งที่คุณอยากให้มันมีในโลก ก็ทำในแบบที่คุณอยากให้มันมีนั่นล่ะ อย่าทำ SEO โดยเนื้อหามีกระท่อนกระแท่น อย่าโปรโมทเว็บตั้งแต่ บทความแรก เขียนให้เว็บมีน้ำหนักแล้วจึงเริ่มโปรโมท เขียนให้คุณนิ่งว่าคุณสามารถไปกับมันได้ไกล แล้วค่อยโปรโมทไปรายทาง ถ้าคุณนิ่งแล้วอยากได้ก้าวกระโดดอีกหน่อย มาคุยกับ Blognone เพื่อขอเป็น partner ก็ได้