Mission Impossible 5 (Spoil)

  • Dell, Tissot, และ BMW
  • Dell แย่สุด จงใจค้างมุมกล้องอย่างน่าเกลียด Tissot รองลงมา BMW ได้เปรียบเพราะมันเป็นฉากไล่ล่า
  • ไฟล์เข้ารหัส แต่ถอดรหัสด้วย voice recognition? แสดงว่า key มันก็อยู่ในไฟล์นั่นล่ะ
  • recognize ด้วยท่าเดิน? เทคโนโลยีทุกวันนี้ถ้าเอาไปใช้จริงแบบนั้น agent เมิงน่วมหมดทุกคนอ่ะ
  • จะเอาดิสก์ไปแช่น้ำทำแมวอะไร
  • ซับแปลประหลาดหลายจุด ดีใจที่ฟัง audiobook จะไม่ต้องอ่านซับ อ่านทีไรแล้วหงุดหงิด
  • มึงขัดคำสั่งนายกโดยตรง ตั้งหน่วยงานทั้งที่ถูกสั่งห้ามตั้งแต่ตอนวางแผน ทำกระบวนการทั้งหมดอย่างเงียบเชียบ เพื่อที่สุดท้ายจะเอาเงินทั้งหมดไปบอกให้นายกปลด มึงเมายารึเปล่า
 

Maker Movement

เหตุจากเมื่อคืนนอนไม่หลับ ตื่นมานั่งทำงานแต่เช้าตรู่แล้วเห็นทวีตเนยสด เลยกดไปต่อแล้วฟังไปถึงเพลงข้างบน

พบว่า IU เป็นนักร้องที่เสียงมีเอกลักษณ์ดี สามารถนั่งฟังเป็นเพลงได้แบบไม่ต้องดู MV หรือการแสดงอะไรฟังได้เรื่อยๆ คงเป็นอีกคนที่อยู่ในลิสต์

หัวข้อบล็อคน่าจะไปมั่วซั่วไปได้

 

Jurassic World

หนังที่ต้องไปดูเพราะความทรงจำกับภาคแรกๆ สมัยที่ผมต้องนั่งเก้าอี้เสริมระหว่างทางเดินในโรงหนัง แม้จะอยู่ในระดับคลาสสิคแต่ภาคต่อๆ มากลับทำได้แย่ลงเรื่อยๆ (IMDB จาก 8.1 เหลือ 6.5 และ 5.9) กลายเป็นหนังราคาถูกที่เล่นกับกิมมิกของภาคแรกซ้ำไปมา

Jurassic World พยายามไถ่บาปของทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ ด้วยการรีเซ็ตโลกใหม่ที่พอมีความเกี่ยวกันบ้างแต่ก็ไม่ได้พยายามเดินเรื่องต่อกันนัก ไม่เล่นกับกิมมิกเดิมๆ อีกต่อไป

โปรดักชั่นและบทของภาคนี้กลับมาเป็นหนังชั้นดีอีกครั้ง แต่ผู้สร้างจงใจเอาใจคนที่ชอบภาคแรกชนิดว่าใครคิดถึงก็ยังไม่ลืมกัน

22 ปีผ่านไป Jurassic World คงเป็นแบบเดียวกับวงนักร้องในไทยที่กลับมารวมตัวกันใหม่แล้วประสบความสำเร็จอย่างสูง คนยุค Jurassic Park สามารถจูงลูกไประลึกความหลังโดยสนุกไปพร้อมๆ กัน

แต่สำหรับผมเองแล้วกลับรู้สึกว่ามันเด็กเกินไปหน่อย มันพยายามตลกเกินไป เพราะอารมณ์ที่จำได้จาก Jurassic Park คือความตื่นเต้นและตื่นตา สิ่งเหล่านี้กลับหายไป ฉากบู๊แม้จะเรียกว่าสนุกแต่ก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นในระดับเดียวกันได้อีกแล้ว ไดโนเสาร์เองก็ไม่ใช่ของที่ผมจะทึ่งอีกครั้งกับกราฟิกที่ Jurassic Park ทำได้ในระดับสมจริงเป็นครั้งแรกๆ ครั้งนี้ก็กลายเป็นอีกครั้งที่สมจริงพอสมควร

อารมณ์และประสบการณ์แบบนั้นคงไม่สามารถดึงกลับมาได้อีกครั้งแล้ว

 

พังเพราะอวดรวย

ผมได้ยินเรื่องราวของโปรเจคไอทีที่อยู่ในระดับ “พัง” อยู่เรื่อยๆ ได้ยินต่อๆ กันมาบ้างใกล้บ้างไกลบ้าง สาเหตุแตกต่างกันไป

แต่สาเหตุหนึ่งที่บ่อยครั้งเป็นสาเหตุใหญ่ และแม้แต่โปรเจคที่ไม่ได้พังก็มักมีความชอกช้ำกันมา คือการอวดรวย

การซื้อของแพงไม่ได้ผิด ความน่าเชื่อถือของสินค้าหลายตัวเป็นเรื่องจริง สินค้าที่มี ecosystem ที่ดีเป็นคุณค่าจริงที่หากเราได้ประโยชน์จากมันก็อาจจะคุ้มค่าที่จะจ่าย

แต่การซื้อของแพงโดยที่งบประมาณจำกัด การทุ่มทุนกับของที่หาประโยชน์อะไรจริงจังไม่ได้นอกจากความเชื่อว่ามันจะดี เบียดเบียนให้ต้องมาจำกัดจำเขี่ยกับทรัพยากรที่มีประโยชน์แน่ๆ นำพาให้โครงการต้องเดินหน้าอย่างขัดสน ขาดทรัพยากรพื้นๆ นำไปสู่ความล่าช้า (ซึ่งเอาจริงๆ ค่าตัวแรงงานมักจะแพงที่สุด แต่จะมาบานปลายหลักจากบีบให้แรงงานทำงานอย่างจำกัดจำเขี่ยไปแล้วนานๆ จนกระทั่งโปรเจคเกินกำหนด)

ถ้ารวยก็ซื้อของแพงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าไม่รวยก็อย่าพยายามหลอกตัวเองว่ารวย อยู่กับของที่มี ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

มีไม่มีกี่ครั้งที่จะมีการตัดสินใจแบบนี้