Guilty

น้ำมันแพง แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้เราไปปล้นปั๊มน้ำมัน
แล้วทำไมเราถึงปล้นซอฟต์แวร์โดยอ้างว่ามันแพงล่ะ?

ผมเชื่อว่าเมืองไทยยังไม่พร้อมกับการบังคับใช้ของแท้เต็มร้อยในวันนี้ แต่ที่สำคัญกว่าการใช้หรือไม่ใช้ของเถื่อน คือจิตสำนึกที่ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด ถ้าเด็กสิบแปดคนนึงใช้ของเถื่อนโดยรับรู้ว่ามันผิด เมื่อเขาเรียนจบแล้วมีงานทำมีรายได้ที่มากพอ เขาก็จะซื้อของถูกกฏหมายเอง และการซื้อนั้นจะสร้างความเคารพในตัวเองว่าเขาเป็นผู้ใช้ของแท้

แต่ถ้าเราสร้างค่านิยมว่าการใช้ของเถื่อนเป็นความชอบธรรม ต่อให้มีเงินเดือนเดืิอนละล้านคนก็ยังไม่ใช้ของแท้อยู่ดี

ที่ลำบากคือจิตสำนึกมันสร้างยากกว่ากว่าเยอะ

 

ZWSP Replan

หลังจากใช้งาน Firefox บน Ubuntu มาระยะหนึ่ง ความจริงข้อหนึ่งที่พบคือความพยายามฝังระบบตัดคำเข้าไปในตัวเว็บนั้น เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควรเนื่องจากการใช้งาน Libthai บน Ubuntu ที่เวิร์คจริง และ Firefox Extension ที่กำลังจะออกมาในเร็วๆ นี้น่าจะทำให้บราวเซอร์เกือบทั้งหมดที่คนใช้เป็นคนอ่านภาษาไทยออก (ไม่ใช่ฝรั่งหลงกดลิงก์เข้ามา) เป็นบราวเซอร์ที่ตัดคำภาษาไทยได้อยู่แล้ว

สำหรับการตัดคำเพื่อทำ SEO นั้นการตรวจ User Agent แล้วจึงส่งข้อมูลที่ตัดคำให้ (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น ZWSP แต่เป็น Space ธรรมดาก็ได้เหมือนกัน) สามารถทำได้ดีกว่ามาก ตอนนี้กำลังหาทางลองวิธีการใหม่ๆ เพื่อปรับการทำงานของ Search Engine ให้เข้ากับภาษาไทยได้ดีกว่าเดิม แต่คงไม่ใช่ ZWSP อีกต่อไป

แต่การใช้งาน ZWSP บนสิ่งพิมพ์เช่นตอนเดโมในงาน BTD2.0 ถึงการใช้ในการจัดหน้ากระดาษยังคงมีคุณค่าให้ศึกษาอยู่ต่อไป หลังจากพยายามอ่านวิธีการเขียน Extension ให้กับ OO.o แบบผ่านๆ แล้ว (ผ่านมากๆ) พบว่าความยุ่งยากค่อนข้างมาก อาจจะหนีไปทำตัว Proof of Concept ให้กับระบบการจัดหน้าที่ง่ายกว่าเช่น LaTeX อะไรอย่างนั้นน่าจะเข้าท่ากว่า

 

ดิจิตอล

โลกดิจิตอลทำให้ความฝันที่ไม่เคยเป็นไปได้ เป็นขึ้นมาจริงๆ เอาเหมือนกัน คนในวีดีโอนี่เล่นไม่เป็นทั้งกลองทั้งเปียโน ตัดต่อวีดีโอเป็นอย่างเดียว แต่ตอนนี้ดังขนาด WSJ เอาไปเขียนเป็นข่าวแล้ว แถมคนดูรายการนี้มากกว่า 1.5 ล้านครั้ง ทำรายการทีวีบ้านเราอายได้ง่ายๆ

 

DRM?

เพิ่งเห็นว่าคุณ Ford Antitrust เอาบล็อกผมไปอ้างตอนเขียนถึงเรื่อง DRM ที่น่าสนใจคือในบล็อกเดียวกันมีการเขียนบทความขนาดยาวที่ค่อนข้างโดนใจ เลยคิดว่าบ่นๆ มาหลายทีแล้ว น่าเขียนเรื่องนี้ให้ชัดๆ สักที ก่อนอื่นคนอ่านบทความนี้ควรเข้าใจว่า DRM คืออะไรแล้วนะครับ ไม่ขอกล่่าวถึง ถ้าสนใจแล้วหาข้อมูลไม่ได้ ควรไปถามในบอร์ดสาธารณะเช่นเว็บบอร์ดของ Blognone

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเกลียด DRM มาก เพราะมันน่ารำคาญแต่อย่างใดก็ตาม ผมเชื่อว่าผู้ขาย และศิลปินผู้สร้างสรรผลงานมีสิทธิที่จะใช้ DRM ในงานของเขาได้เสมอ การใช้ DRM ในซีดีเพลงซักแผ่นไม่ใช่ความชั่ว มันเป็นสิทธิที่ผู้ขายจะขายสื่อของตนในรูปแบบใดๆ ที่คุณต้องการ ไม่ต่างจากวันนี้ถ้าผมทำเพลงที่โคตรดังขึ้นมาซักเพลง แล้วผมจะบอกว่ามีขายเฉพาะในรูปแบบแผ่นเสียง มันคงไม่ใช่ข้ออ้างว่าก็คุณไม่ทำเพลงเอ็มพีสามออกมาขาย คนทำเอ็มพีสามขายเลยไม่ผิด

การละเมิดลิขสิทธิเป็นความผิดอยู่แล้วไม่ว่ามันจะเข้าท่าแค่ไหนก็ทีเถอะ

แต่สำหรับค่ายเพลงส่วนใหญ่แล้ว การนำ DRM มาใช้ในทุกวันนี้ คือความผิดที่ผู้บริโภคควรเรียกร้องสิทธิของเรากลับคืนมา กรณีเหล่านี้เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยแผ่นวีซีดีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่มีการใส่ Trojan ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานเต็มพิกัดตลอดเวลาจนไม่สามารถทำงานอย่างอื่นได้ ค่าขนเอาคอมขึ้นแท็กซี่ไปซ่อมที่พันทิบคงเป็นหลายเท่าตัวของค่าแผ่นหนังอยู่มาก ความเสียหายเช่นนี้ชัดเจนจนหน่วยงานต่างๆ ไม่ควรละเลยที่จะคุ้มครองผู้บริโภคโดยให้ให้เหตุผลว่าผู้กระทำผิดทำไปเพราะต้องการป้องกันตัวเองจากการละเมิดลิขสิทธิ นี่เป็นคนละกรรมกัน (ภาษากฎหมาย)

กรณีต่อมาคือการแอบๆ ใส่โปรแกรม DRM ไว้ตามแผ่นซีดีต่างๆ โดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภคได้รับรู้อย่างชัดเจนว่าแผ่นซีดีเหล่านั้นจะมีข้อจำกัด ทำให้แผ่นเหล่านั้นไม่สามารถใช้งานได้ในบางกรณี การจำกัดการใช้งานไม่ใช่เรื่องผิด หากมีการระบุอย่างชัดเจน อย่างที่ผมยกตัวอย่างไปว่าถ้าผมจะทำเพลงแล้วอัดใส่แผ่นเสียงขายอย่างเดียว คงชัดเจนว่าข้อมูลจากแผ่นเสียงคงไม่สามารถนำไปฟังในคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง แต่กับแผ่นซีดีนั้นเล่า เครื่องเล่นที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ของผมก็ระบุมาตรฐานชัดเจนว่ารองรับมาตรฐาน CD-AUDIO แล้วทำไมผมจึงไม่มีสิทธิในการใช้งานแผ่นซีดีที่ผมซื้อมา

กรณีการแอบๆ ใส่ Jitter เข้าไปในข้อมูลเสียงเพื่อให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถอ่านได้นั้น เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายไม่ต่างจากการใส่โทรจันเข้าไปในวีซีดีแต่อย่างใด เนื่องจากตัวแผ่นเองไม่ทำตามมาตรฐาน Red Book ที่เป็นมาตรฐานการผลิตซีดี ผลที่ได้คือไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าจะมีเครื่องเล่นใดบ้างที่อ่านแผ่นดังกล่่าวได้หรือไม่อย่างไร การบอกว่าคอมพิวเตอร์อ่านไม่ได้ แต่เครื่องเล่นเพลงทั่วไปอ่านได้นั้นเป็นคำตอบสั่วๆ ของการใช้เทคโนโลยีอย่างไร้ความรับผิดชอบ เพราะข้อเท็จจริงคือเครื่องเล่นเพลงหลายรุ่นในท้องตลาดไม่สามารถอ่านแผ่นเหล่านี้ได้ ในทางกลับกัน เครื่องอ่านซีดีที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์จำนวนมากกลับสามารถอ่านแผ่นเหล่านั้นได้อย่างไร้ปัญหา

อย่างไรก็ตามแม้การใส่ Jitter เข้าไปในข้อมูลเสียงนั้นจะเป็นความน่าเกลียดทางวิศวกรรม และการตลาดที่ย่ำแย่ แต่ผมยังคงเชื่อว่าศิลปินและผู้ผลิตสามารถใช้เทคโนโลยีดังกล่าวได้ โดยระบุข้อจำกัดให้กับผู้บริโภคอย่างชัดเจน ประการแรกเลยคือต้องถอดเครื่องหมาย CD-AUDIO ออกจากหน้าแผ่น พร้อมกับต้องสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นเพื่อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้ขายว่ามีเครื่องเล่นใดบ้างที่รับรองว่าสามารถใช้งานแผ่นเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง กรณีเช่นนี้หากการคุ้มครองผู้บริโภคบ้านเราเข้มแข็งพอก็น่าจะหมายถึงการแนบเอกสารไว้นอกกล่องซีดีว่าแผ่นที่กำลังจะซื้อนั้นสามารถใช้ได้กับเครื่องเล่นยี่ห้อใด รุ่นใดบ้าง หากเครื่องเล่นของผู้บริโภคไม่อยู่ในรายการ ผู้บริโภคจะได้สามารถเลือกไม่ซื้อแผ่นดังกล่าวได้โดยไม่ต้องมีปัญหาภายหลัง แน่นอนว่าการกระทำเช่นนั้นกระทบกับยอดขาย แต่มันเป็นทางเลือกของผู้ผลิตเองที่จะเลือกเดินทางนั้น

แต่ในฐานะอดีตลูกค้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ (ที่ซื้อแต่แผ่นอินดี้แล้วในช่วงหลัง) ผมสงสัยอยู่สองอย่างคือ ฝ่ายเทคนิคที่นำเทคโนโลยีพวกนี้มาใช้งาน เชื่ออย่างบริสุทธิใจจริงๆ น่ะหรือว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มันจะช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิลงไปได้ กับอีกประการคือบริษัทเหล่านี้ไม่มีฝ่ายการตลาดที่ศึกษาตลาดมาดีพอว่าในตลาดความบันเทิงนั้น คือพึงพอใจของลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่งเลยหรือ?

น่าสงสัย…