Valentine

tulip valentine edition

โน้ตบุ๊ก Tulip นี่ออกมาสร้างความฮือฮาได้เรื่อยๆ ตั้งแต่ปีก่อนที่บ้านเราเอาโน้ตบุ๊กฝังเพชรเข้ามาโชว์ ตอนนั้นไปดูแล้วไม่สวยเอาซะเลย (ไม่เหมือนพริตตี้ที่ยืนข้างๆ) แต่การออกแบบที่หลากหลายก็สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้เรื่อยๆ

ถ้าจีบสาวอยู่คงน่าซื้อเป็นของขวัญวาเลนไทน์ชอบกล แต่ระหว่างนี่ก็อยู่กับ Acer ไปก่อน (อีกนานๆ)

 

Happy Valentine


Image033

ที่ทำงานมีรายการแจกการ์ดกับลูกโป่งวาเลนไทน์ด้วย ไม่รู้ทำไมแจกวันที่ 13 อาจจะเพราะพรุ่งนี้ไม่มีใครว่างเพราะต้องไปเป็นคุ่กัน T_T 

 

5 บล็อกที่คุณไม่รู้ว่าผมอ่านประจำ

  1. บล็อกแมวหลอน ว่าด้วยชีวิตของแอร์สาว ที่เห็นว่าเพิ่งลดความสาวไปอีกหน่อยแล้วในบล็อกล่าสุด อ่านสนุกด้วยข้อความแรงๆ แบบแปลกๆ (เจ้าของมาเห็นเค้าจะดีใจม่ะ) เอาเป็นว่าเป็นบล็อกแรกที่อ่านแล้ว ผมต้องไปนั่งรื้อบล็อกเก่าๆ มาอ่านด้วยความมันส์
  2. Dunbine บล็อกสารพัดเรื่องราวที่เน้นการกินเป็นพิเศษ คงไม่ต้องอธิบายเหตุผลที่ผมอ่านเพิ่มเติม แต่น่าสนใจว่าผมเจอบล็อกนี้จากกูเกิลเพราะหาร้านอาหาร!
  3. Adverblog บล็อกรวมโฆษณาแปลกๆ จากต่างประเทศ เข้าไปแค่ดูรูปก็คุ้มแล้ว เจอโดยบังเอิญใน Recently Update ของ exteen
  4. Barkata แม้ตัวผมเองจะกินแอลกอฮอล์ต่ำมากๆ ชนิดที่ว่าสี่ปีในมหาวิทยาลัยกินเบียร์ไปไม่เกินสี่กระป๋อง แต่อ่านเรื่องการชงเหล้านี่มันก็สนุกดีไม่ใช่เล่นนะ บล็อกนี้เจอจากการกดมั่วๆ ใน Recently Update อีกเช่นกัน
  5. Impression บันทึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่บันทึกความประทับใจทุกอย่างกับแฟนของเธอ อ่านได้ทุกวันว่าวันนี้เธอคุยโทรศัพท์กับแฟนกี่นาที ไปเดินสยามตอนกี่โมง ที่น่าสนใจคือแม้จะเขียนละเอียดขนาดนี้ แต่เธอไม่เคยหลุดข้อมูลส่วนตัวออกมาเลย

เพิ่งเห็นว่าอ่านแต่บล็อกใน exteen แฮะ….

 

เสียตัว!

พอดีสองบล็อกใน feed พูดเรื่องวาเลนไทน์ (1,2) แถม อสมท. ก็เล่นข่าวอินเทอร์เน็ตชักนำให้มีเพศสัมพันธ์ เลยนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ให้เอามาเขียนบ้าง

โดยพื้นฐานครอบครัว ศาสนา และการดำเนินชีวิตแล้ว ผมเป็นคนที่เชื่อว่าเพศสัมพันธ์นั้นมีไว้สำหรับหลังแต่งงานทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟนกันแล้ว มั่นใจแล้วว่าเป็นคู่กัน หรือจะหมั้นแล้วเตรียมงานแต่งอาทิตย์หน้าก็ตามที แต่เมื่อได้อ่านหนังสือ เรื่องเพศที่ไม่อยากให้ลูกรู้ (แต่กลัวว่าอยู่ว่าลูกจะถาม) ผมได้แนวคิดอย่างหนึ่งมาจากหนังสือเล่มนี้คือพ่อแม่นั้นเป็นตัวแปรหลักที่จะกำหนดพื้นฐานในตัวลูกว่าสิ่งใดที่ควรมองว่าเป็นความถูกต้อง และสิ่งใดที่ผิดพลาด โดยพื้นฐานสังคมอเมริกันที่เปิดกว้างกว่าบ้านเรา หนังสือเล่มนั้นบอกให้ผมรู้ว่ามันมีพ่อแม่จำนวนหนึ่งเหมือนกันที่เชื่อว่าลูกของเขาควรมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่คบกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลในการเลือกจะลงเอยกับใครสักคน

ประเด็นคือถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นแบบใด พ่อแม่ควรตระหนักว่าเขากำลังให้กำเนิดลูกออกมาในสังคมแบบใด และน่าจะเป็นเรื่องดีถ้าพ่อแม่จะเตรียมการรับมือปัจจัยภายนอกที่จะมีผลกระทบกับลูกของเขาเอาไว้ตามสมควร

บ้านเราเอง ถ้าไม่มัวนั่งฟังข่าวจากกระทรวงวัฒนธรรมจนไม่ลืมหูลืมตา คงรู้กันดีกว่าวัฒนธรรมบ้านเรามันไม่ได้สวยใส หญิงเรียบร้อย ชายสุภาพเต็มเปี่ยมกันทั้งประเทศ แบบที่พยายามสร้่างภาพกันว่าเป็นอย่างนั้นมาหลายร้อยปี แล้วเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อวาน

ไม่เชื่อต้องไปอ่านสุนทรภู่…..

ไม่ว่าเราจะชอบหรือรับได้หรือไม่ ความคิดแบบ “ไม่เห็นเป็นไร..” ก็ยังคงมีอยู่ ที่แย่กว่านั้นความผิดพลาดจากความ “ไม่เป็นไร” (เช่น ท้อง…) ก็ยังคงมีอยู่อีกเช่นกัน

ผมมองว่าแนวคิดแบบ ปิดไว้ไม่ให้มันรู้ เป็นแนวคิดไม่สามารถแก้ปัญหา (ถ้ามองมันเป็นปัญหา) แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องของวิธีการของแต่ละครอบครัว

สังคมไทยยังมีเรื่องน่ารังเกียจกว่านั้นอีกเยอะ…..

ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมได้ข่าวเด็กและไม่เด็กหญิงทั้งหลายถูก “เฉดหัว” ออกจากสถานศึกษา เพราะความผิดพลาดครั้งหนึ่งในชีวิต ให้ตายเถอะครับ การกระทำพวกนี้มันเป็นการกระทำสมัยนางทาส ทำไมเราต้องไปพิพากษาชีวิตคนๆ หนึ่งให้เกือบหมดโอกาสในสังคมด้วยเหตุว่าเขาผิดพลาดไป ยิ่งกว่านั้นทำไมเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาในช่วงที่แม่กำลังอยู่ในสถานศึกษาถึงต้องเป็นต้นเหตุให้แม่หมดอนาคต

แล้วทำไมต้องลงโทษแต่ผู้หญิง (ว่ะ..) ทำไมไม่ลากคอผู้ชายมาประกาศชื่อแล้วไล่ออกกันบ้างล่ะ

ความอับอาย และความลำบากที่ต้องเรียนหนังสือทั้งที่ร่างกายไม่อำนวยมันไม่เพียงพอต่อผู้มีอำนาจหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงต้องซ้ำเติมใหญ่ความผิดพลาดของคนๆ หนึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงไปตลอดชีวิต

ในแง่หนึ่งแล้ว การประโคมข่าว “วันเสียตัว” ตัวเลขสถิติเทียบกับปีที่แล้ว ฯลฯ อาจจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการซ้ำเติมอย่างไร้จริยธรรมเหล่านี้ก็ได้