ความรักน่ะ มันรอเราได้เสมอ
พี่ยม (เป็นต่อ)
Uncategorized
JS or not JS
ช่วงนี้มีโอกาสได้ทำเว็บที่มีความต้องการแปลกไปจาก Blognone บ้างเลยพบว่ามีความต้องการใช้ลูกเล่นที่มากกว่าปรกติ เลยมีประเด็นที่น่าคิดขึ้นมา
เรื่องของเรื่องคือโมดูล Nice Menus ของ Drupal ที่เวอร์ชั่นหลังๆ มีความพยายามในการขจัดการใช้งาน JavaScript ออกไปให้มากที่สุดโดยล่าสุดสามารถขจัดออกไปจากการใช้งานเว็บใน Firefox ได้แล้ว ส่วน IE ยังต้องพึ่ง JQuery กันต่อไป
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผมต้องการ Customize บางอย่างที่เหนือความสามารถของ CSS แล้วทำให้ต้องไปดึง JQuery กลับมาใช้งานอยู่ดี
เรื่องนี้ทำให้น่าคิดว่าบางทีแล้ว การใช้งาน JS ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายจนเกินไป โดยเฉพาะหากเว็บไม่ได้ช้าอะไรมากมาย และการใช้งานนั้นลดระยะเวลาการพัฒนาเว็บลงได้อย่างมีนัยยะ
หลายคนอาจจะเถียงว่า CSS นั้นควรทำหลายๆ อย่างได้โดยไม่ต้องพึ่ง JS ที่ทำให้เครื่องผู้เข้าชมเว็บช้าโดยไม่จำเป็น
แต่หลังจากพยายามปล้ำกับมันมานาน ตอนนี้ผมยอมแพ้แล้วขอใช้ JQuery ให้สบายใจดีกว่า
National OpenID
ประเด็นของพรบ. ความผิดที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์สร้างความกังวลให้กับ “ผู้ให้บริการ” จำนวนมหาศาล ที่ต้องกังวลว่าจะต้องรับผิดชอบความผิดที่ตัวเองไม่ได่ก่อไปด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นการเก็บหมายเลขบัตรประชาชนที่เป็นที่ถกเถียงกันมานาน
เรื่องที่แย่อย่างหนึ่งคือเป็นเรื่องลำบากเป็นอย่างมากสำหรับผู้ให้บริการที่ต้องการให้ชุมชนของตนเป็น “สีขาว” ด้วยวิธีการที่ว่าทุกคนสามารถยืนยันตัวตนได้ว่ามีตัวตนจริงในประเทศไทย
OpenID เป็นมาตรฐานการยืนยันตัวบุคคลที่กำลังได้รับการยอมรับอย่างกว้าง ข้อดีของมันคือการที่ OpenID เป็นมาตรฐานเปิด ซึ่งหมายความว่ามันไม่ผูกกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง, ข้อดีของมันคือการที่มาตรฐานนั้นได้รับการยอมรับค่อนมาก ซอฟต์แวร์จำนวนมากสามารถเปิดรองรับการยืนยันตัวบุคคลผ่านทาง OpenID ได้ในทันที
สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือหน่วยงานกลางที่จะทำหน้าที่ ยืนยันการมีตัวตนของ User ID หนึ่งๆ ที่อาจจะเข้าใช้งานบริการต่างๆ จำนวนมาก เช่น เว็บบอร์ด หรือบล็อกต่างๆ โดยที่หน่วยงานดังกล่าวอาจจะต้องการการยืนยันแบบเป็นเอกสารจากทางเจ้าของ Account ที่จะสมัคร
ที่น่าสนใจคือหน่วยงานนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นหน่วยงานราชการเสมอไป
แต่การทำ National OpenID (NID) นี้เป็นกิจกรรมที่สร้างค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเมื่อคิดถึงปริมาณผู้ใช้ในหลักแสนคน (ซึ่งเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้) ค่าใช้จ่ายในการรวบรวมเอกสาร การทำ Identification ต่างๆ จะแทบไม่ต่างอะไรจากบัตรประชาชน เว้นแต่ว่าการทำงานอาจจะ Cost Efficient กว่ามาก
เราจะสร้างแรงจูงใจให้เกิด NID ได้ยังไงบ้างนอกจากการด่ารัฐบาลว่าออกกฏแต่ไม่ออกทางออก (เพราะไม่ต้องรับผิดชอบกับฐานเสียงประชาชน?) มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะสร้างหน่วยงานแบบนี้ในเชิงของเอกชนหรือ องค์กรอิสระ
ในเชิงเอกชนนั้นเราอาจจะคิดถึงหน่วยงานแบบ Consortium ที่เป็นการรวมตัวกันของเว็บที่หวังผลทางธุรกิจ แล้วลงเงินก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาในรูปแบบของค่าธรรมเนียมในการเข้าใช้งานข้อมูใน OpenID โดยแน่นอนว่าต้องเป็นข้อมูลที่เจ้าของ Account ยินยอมเท่านั้น ปัญหาที่ตามมาคือเราจะคิดค่าธรรมเนียมกันอย่างไร เพราะขณะที่เว็บขนาดใหญ่อาจะยินดีจ่ายเงินหลายๆ หมื่นบาทต่อเดือนเพื่อใช้งานโดยไม่มีผลกระทบ เว็บเล็กๆ คงแทบไม่มีทางจ่ายเงินขนาดนั้นได้ การแก้ปัญหาด้วยการนับ Account ก็คงไม่ใช่ทางออกที่ดีเพราะเว็บขนาดเล็กที่เปิดตัวใหม่ อาจจะมีการเข้าใช้งานเกินความเป็นจริง ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
ทางออกที่เป็นไปได้อาจจะเป็นไปในรูปแบบของ Service Level Agreement โดยแต่ละเว็บจะจ่ายเงินเพื่อขอการรับประกันความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ เช่นเว็บใหญ่ๆ อาจจะต้องการ 500 รายชื่อต่อนาที แต่เว็บขนาดเล็กต้องการเพียง 5 รายชื่อต่อนาทีเท่านั้น โดยหากเป็นช่วงเวลาที่ระบบโหลดไม่เต็มเว็บขนาดเล็กก็จะได้บริการไปในแบบที่ไม่มีการรับประกัน และอาจจะมีการบังคับจ่ายเพิ่มในกรณีที่มีการใช้งานเกินต่อเนื่อง
ในแง่ของหน่วยงานราชการนั้นอาจจะกลับข้างกัน โดยราชการอาจจะเลือกเก็บเงินกับเจ้าของ Account แทน เนื่องจากเป็นผู้ได้รับประโยชน์ โดยอาจจะมีแบบฟอร์มแนบตอนทำบัตรประชาชนว่าต้องการ NID ด้วยหรือไม่ ถ้าต้องการก็จ่ายเงิน 20 บาทอะไรอย่างนั้น หน่วยงานนี้อาจจะต้องเป็นหน่วยงานอิสระจากรัฐบาลโดยมีรายได้เป็นของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจได้อีกขั้นว่ารัฐบาลจะไม่เอาข้อมูลการเข้าถึงเว็บต่างๆ ไปใช้ซี้ซั้ว โดยการเข้าใช้งานข้อมูลเหล่านั้นสามารถทำได้โดยการขอหมายศาล ตรงนี้รัฐบาลเองก็จะสะดวกขึ้นเพราะรู้ว่าต้องไปเอาข้อมูลจากใคร
ผู้รับ
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่น่าสนใจในโลกของเราคือ ทัศนคติทางเพศที่มองผู้ชายเป็น “ผู้ให้” แม้ในหลายปีให้หลังมานี้มุมมองแบบดีจะดีขึ้นมากแล้วจากการปรับกระบวนคิดในเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศและเรื่องอื่นๆ แต่ทัศนคติแบบนี้ก็ยังไม่ได้หายไปไหนจากโลกของเรา
เราคงเคยชินที่เห็นภาพยนตร์สักเรื่องที่นางเอกตกอยู่ในมือเหล่าร้ายโดยที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ และมีพระเอกที่อาจจะเก่งกาจ หรืออาจจะไม่ได้เรื่องเลยก็ตามที ฝ่าฟันปัญหานานับประการเพื่อปกป้องช่วยเหลือนางเอกให้รอดพ้นจากภยันอันตรายทั้งปวง แล้วเรื่องราวก็จบลงด้วยการแสดงความขอบคุณจากนางเอกที่บอกว่าเธอขาดพระเอกไปไม่ได้ตลอดกาล
ภาพเหล่านี้แม้จะสร้างความคิดที่จะปกป้องดูแลคนที่เรารักให้กับผู้ชายจำนวนมากในโลกก็ตาม แต่ในมุมกลับแล้ว มันกลับเป็นเรื่องยากที่เราจะยอมรับว่่าในขณะที่เราพยายาม “ให้” นั้น ชีวิตคู่ของคนเราก็ต้องยอมที่จะ “รับ” ไปพร้อมๆ กันด้วย เหมือนกับตอนที่พระเอกรู้ว่านางเอกไปดูกีฬากับพระเอกเพื่อจะใช้เวลากับพระเอกมากกว่าที่จะเป็นความชอบส่วนตัวในเรื่อง The Break Up
บางทีแล้วการเรียนรู้ที่จะรับ และการแสดงความตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่เราได้รับในทางบวก อาจจะเป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ และปรับปรุงในคนรุ่นต่อๆ ไปเช่นเดียวกับที่คนรุ่นก่อนหน้าเราได้ปรับในเรื่องความเท่าเทียมมาก่อนหน้านี้แล้วก็เป็นได้