Let Me Eat Your Pancreas (spoil)

น่าจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่อ่านนิยายติดๆ กับดูหนัง (ดูหนังก่อนวันนึง แล้วออกมาซื้อนิยายอ่านต่อ)

  • เรื่องตอนโตนี่มีแต่ในหนังเลย ในนิยายไม่มี ซึ่งทำให้เส้นเรื่องในนิยายดู “จริง” กว่า
  • ตอนดูหนังออกมาคิดว่ามันเดินเรื่องเร็วดี ไม่ขยี้เอาน้ำตาเกินไป แต่เอาจริงๆ มันก็หนักกว่าในนิยายมากแล้ว
  • สิ่งหนึ่งรู้สึกตอนอ่านนิยายคือสงสัยว่านางเอกสวยแค่ไหน ในนิยายพูดเรื่องว่าสวยเป็นที่สาม แล้วเน้นว่าเท่าที่พระเอกจำหน้าได้ (เพราะพระเอกไม่มีเพื่อน) มันเลยบ่งบอกว่าคงหน้าตาดีประมาณนึง แต่ไม่เวอร์มาก ในหนังเรื่องพวกนี้ถูกตัดออกไปด้วยหน้าตาของนางเอกหนังแล้ว แถมในหนังไม่มีที่หนึ่งที่สองมาแทรกกลบนางเอกแต่อย่างใด
  • อีกเรื่องคือเส้นเวลา ในนิยายไม่ได้บีบอัดว่าทั้งสองคนสนิทกันขนาดนั้น เส้นเวลาความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถูกเว้นเป็นระยะๆ หายไปหลายวันหรือหลายสัปดาห์อยู่เรื่อยๆ ในหนังสร้างภาพว่าเป็นการสนิทกันอย่างรวดเร็วและแทบไม่ได้เว้นช่องว่างระหว่างการสร้างความสัมพันธ์เลย
  • จุดที่ถูกเปลี่ยนอีกเรื่องคือนางเอก “เรียก” ให้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ความสัมพันธ์ตลอดเวลาไม่ได้เปลี่ยนเร็วขนาดนั้น มันก็มีพัฒนาการของมันที่เร็วพอสมควรแต่หนังบีบเข้ามามาก
  • พอเรื่องความสวยกับเรื่องความสัมพันธ์ในนิยายไม่หนักเท่าในหนัง เรื่อง “การหลุดออกจากความเป็น introvert” เลยมีพื้นที่มาก ตอนจบของนิยายก็แบบนี้ คือเป็นการเดินทางออกมาพบผู้คนเพราะนางเอก
  • ในนิยายมีบทสนทนาสวยๆ เยอะ ชีวิตคืออะไร, ความสัมพันธ์ ฯลฯ โดนหยิบมาใช้ในหนังเยอะ แต่อ่านนิยายก็ดีกว่า
  • ตอนดูหนังคิดว่าการซ่อนจดหมายนี่ไร้เหตุผลมาก โอกาสที่จะไม่เจอเลยสูงมาก ในนิยายก็เป็นตามนั้น มันแฟนตาซีเกิน ยิ่งบอกว่าระหว่างทางไปหาพระเอกแล้วแวะซ่อนจดหมายนี่ยิ่งประหลาด เลยคิดว่าบทตอนโตที่ใส่มานี่ไม่สวยเท่าไหร่
  • แต่ฉากห้องสมุดสวยดีในแง่ภาพ บทไม่ลงแต่ให้อภัยเรื่องภาพสวย
  • นิยายบรรยายฉากโดนฆ่าโหดเกิน (อีโต้ปักกลางอก) ไม่มีเหตุผลในแง่เนื้อเรื่อง โดนฆ่ายังไงก็สะเทือนใจอยู่แล้ว บรรยายความโหดแล้วทำเรื่องแย่ลง
  • ทรงผมนางเอกในหนังหัวกลมมาก ดูแล้วมันหลุดออกจากเรื่องเรื่อยๆ ดูๆ ไปคิดในใจว่าคิดยังไงถึงเลือกทรงผมหัวกลมขนาดนี้
  • นิยายแปลวิธีการเรียกชื่อได้ลำบาก “นายที่กุมความลับ” “นายเพื่อนสนิทที่ใจร้าย” ถ้าอ่านนิยายวัยรุ่นญี่ปุ่นบ่อยๆ คงชินว่าภาษามันเป็นแบบนี้? แต่พออ่านแล้วมันแปลกๆ ตลอดเวลา แถมมี footnote อธิบายการเล่นเสียงด้วย
 

10 กว่าปีกับ dtac

มีประเด็นที่คุยกับเพื่อในทวิตเตอร์พบว่าผมเป็นคนใช้โปรโทรศัพมือถือถูกมาก คือเดือนละ 199 บาท มาหลายปีแล้ว โปรที่ใช้ตอนนี้คือ 199 บาท ได้เน็ต 500MB  FUP 64kbps โทร 100 นาที ไม่มี Wi-Fi

ใช้แบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง ทำให้เถียงกับหลายคนได้ว่า 64kbps มันใช้งานอะไรไม่ได้นี่ไม่จริง เพราะผมก็ใช้งานอยู่นี่ล่ะ

แต่โอเคมันมีช่วงที่ใช้งานอย่างอื่นบ้าง บางทีเน็ตออฟฟิศไม่นิ่งก็ต้อง tethering แล้วเวลา FUP มันจะเพิ่ม latency จนใช้งานบางอย่างไม่ได้

เมื่อสักสองสามปีก่อน ตอนไปจ่ายเงินมีพนักงานมาชวนสมัครโปร Speed Topping 399 บาท ต่อ 6 เดือน ได้เดือนละ 3GB เพิ่มขึ้นมา กลายเป็นเดือนละ 265.5 บาท ได้เน็ต 3.5GB ต่อเดือน โปร Topping นี้พนักงานเลิกโปรโมทไปแล้ว แต่ยังสมัครบนเว็บ My dtac ได้อยู่ (หาไม่เจออีกต่างหาก ต้องค้นจากโปรที่เคยใช้) ก็สมัครมาเรื่อยๆ

กลายเป็นว่าถูกกว่า Super Non-stop 299 ตอนนี้ที่ได้เน็ต 1.5GB เอง

เดือนสองเดือนที่ผ่านมาเผลอฟังเพลงแล้วกดเป็น Radio จนเน็ตหมด เลยคิดว่าหาทางออกอีกสักชั้นน่าจะดี ลองไปลองมาพบว่าเราสามารถซื้อ Speed Topping 4GB ต่อ 15 วัน ซ้อนเข้าไปได้ด้วย ถ้ารออินเทอร์เน็ตหมด (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกินครึ่งเดือน) แล้วค่อยกดสมัคร ก็จะได้เน็ตรวม 7.5GB ในราคา 364.5 บาท ดีกว่า Super Non-stop 399 เสียอีก (ยังไม่เคยลองว่า 4GB/99 นี่มันซื้อซ้อนไปได้เรื่อยๆ ไหม) แต่ข้อเสียคือมันจะนับ Topping ราย 6 เดือนก่อน แล้วค่อย Topping 15 วัน แล้วนับ package หลักอันสุดท้าย ต้องรอให้ทุกอย่างหมดก่อนแล้วค่อยซื้อ 15 วัน

อีกปัญหาคือจะซื้อซิมใส่ tablet ให้ที่บ้านใช้งาน พบว่าโปรถูกสุดคือ Tablet Net Non-stop 299 แพงแถมเน็ตแค่ 1.5GB

ทางที่ง่ายกว่าคือเลี้ยงซิมเติมเงินสักค่าย (กรณีผมคือเอา SIM2Fly ไม่ใช้แล้ว) ให้ครบ 90 วัน แล้วก็สั่งย้ายค่าย

ได้ Super Non-Stop 499 10GB มาใช้ในราคา 249 บาท (เดือนที่สองฟรี เฉลี่ยเดือนละ 228 บาท) ก็ยกซิมให้ที่บ้านไป พอได้ Wi-Fi มาก็เอารหัสมาใส่มือถือตัวเอง ที่บ้านไม่ได้ใช้อยู่แล้ว ครบปีก็ค่อยปิดเบอร์แล้วย้ายค่ายใหม่ (หรือไม่ก็เอาเบอร์เดิมไปย้ายค่ายอื่น?)

จริงๆ ท่าเลี้ยงซิมนี่ถ้าคนใช้หนักๆ หน่อยอย่างพวก ใช้ 3G เป็นเน็ตสำรองนี่ ใช้โปร 60GB ได้ราคา GB และ 12.48 บาทต่อ GB เอง ใช้สำรองได้แทบทั้งออฟฟิศ

ยังไม่คิดจะย้ายออกเพราะใช้สิทธิ์ซะคุ้ม กาแฟลดราคาก็ใช้, เพิ่งใช้สิทธิ์โดนัทฟรี, ตั๋วหนังลดราคา ปัญหารวมๆ ก็คิดว่ายังน้อยพอ เจอปัญหาแรงๆ ทีเดียวในช่วงหลายปี พวกเรื่องน่ารำคาญอย่างโทรมาเสนอโปรก็หายไปแล้วในปีนี้

 

Issac Asimov

A robot may not injure a human being, or, through inaction, allow a human being to come to harm.

Issac Asimov, The Three Laws of Robotics

 

My tomorrow, Your yesterday

เพิ่งได้ดูในเครื่องบิน ทั้งที่เคยจะไปดูในโรง

  • พล็อตเรื่องค่อนข้างแปลกหน่อย (เวลาเดินทางสวนกัน) แต่องค์ประกอบก็หนังรักทั่วไป ที่บอกว่าสองคนเป็นคู่แท้แต่มีเวลาด้วยกันจำกัด จะป่วย จะลาจาก ฯลฯ แต่เนื้อเรื่องคือเวลามีจำกัดจะใช้มันยังไง
  • พล็อตเวลาเดินสวนกันทำให้คิดถึง Time Traveller’s Wife ที่เวลาสองคนเดินไม่ตรงกัน แต่เรื่องนี้ตรงไปตรงมากว่าคือสวนกันตรงๆ เลย คนนึงเดินหน้า คนนึงถอยหลัง
  • ทำให้เนื้อเรื่องไม่เน้นให้ความหวังอะไรอีก จบแล้วก็จบไป Time Traveller’s Wife ยังมีความหวังได้เจอกันอีก หรืออย่างกวนมึนโฮก็ทิ้งความหวังไว้ตอนท้าย
  • แอบสงสัยชีวิตทั้งสองคนอีก ในเมื่อรู้ว่าเป็นคู่กันไม่ได้แล้วจะมีชีวิตของตัวเองกันต่อไปไหม
  • วันที่ 1 ไม่สมเหตุสมผล เป็นวันสุดท้ายแต่ทำไมยอมจากกันแต่เช้า?
  • ฉากเดินผ่านหินข้ามแม่น้ำเล่นซ้ำไปมาเยอะเกิน ทั้งที่ดูไม่ได้สำคัญอะไร ไม่มีบทพูดด้วยซ้ำ
  • แล้วทำไมต้องเล่นตามบันทึก หลายเรื่องที่เป็นแนวเดียวกันมักบอกว่าตัวเอกได้พยายามนอกบทแล้วแต่ไม่สำเร็จ แต่เรื่องนี้พอบอกแค่ว่าไม่พอใจ แต่ไม่ได้พยายามทดลองออกนอกบันทึกอีก เหมือนยอมแพ้ไปเฉยๆ
  • เสื้อผ้านางเอกดูอลังการมาก เสื้อโค้ดโน่นนี่เต็มไปหมด