social network 101

ช่วงหลังๆ นี่มี agency มาถามเรื่องการมีส่วนร่วมในชุมชนเยอะ ผมพูดไปพูดมาซ้ำหลายรอบ เขียนรวมๆ ซะให้เป็นเรื่องเป็นราว

จัดงานอีเวนต์ให้บล็อกเกอร์

  1. นอกเวลางาน เสาร์อาทิตย์ หลัง 6 โมง บล็อกเกอร์ส่วนมากเป็นคน IT ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าจะมาร่วมงานกันได้หลัง 18.30 ถ้าเสาร์อาทิตย์ 9 โมงคือเช้ามาก 10 โมงคือเช้า กำลังดีคือบ่ายโมง ดึกได้สายได้ บ่ายได้ ห้ามเช้า
  2. ของเล่นเยอะๆ ตั้งบูตสวยๆ อาจจะทำให้ไม่กล้าจับ ถือแจกให้เล่นเลยถ้าทำได้
  3. ทุกอย่างคือ public ทุกคำพูด ทุกสินค้า ถ้าจับได้คือทดสอบได้ เผยแพร่ได้
  4. จะเท่ห์มากถ้ารื้อให้ดูได้ ทำอะไรที่คนใช้ทุกคนอยากทำแต่ไม่กล้าทำ ตัวอย่างบ้าๆ คือ Will it blend ไม่ต้องถึงขั้นนั้นแต่ตัวอย่างมือถือแล้วแยกฝาหน้าฝาหลังให้ดูวงจรก็ดี ในไทยนั้นงาน ThinkPad ที่ดีมากคือเหยียบได้โยนได้ สนุกมาก
  5. ของกิน แม้จะไม่สำคัญ แต่เวลาบล็อกเกอร์ถ่ายรูปไปลงบล็อก มันดึงความสนใจคนรอบๆ ได้ดีอย่างน่าประหลาด

ส่งของให้บล็อกเกอร์ทดสอบ

  1. อันนี้ไม่ต่างจากนักข่าวทั่วไปเท่าใหร่
  2. แต่ถ้ามี press kit ระบุฟีเจอร์สำคัญช่วยให้ทดสอบได้ง่ายก็จะดีมาก (Win7 ผ่านข้อนี้)
  3. ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ทดสอบตัวท๊อปก่อนเสมอ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีได้ แล้วค่อยส่งตัวปรกติที่น่าจะซื้อใช้ตามไป

ส่งข่าวให้บล็อกเกอร์

  1. บล็อกเกอร์ไม่ลอก Press Kit เว็บเขียนข่าวเน้นเร็วแบบ 4×100 อย่าง Blognone นั้น Press Release ออกหลังข่าวประมาณ 24 ชั่วโมงเสมอ – –
  2. เว็บต่างๆ มักมีที่ให้โพส Press Release อยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีที่เฉพาะหรือไม่ ไปโพสเองได้เลย จะได้ประกันว่าข่าวได้ขึ้นเว็บ
  3. สร้างเว็บ Official ลิงก์ RSS Feed เข้ากับ twitter ถ้ามี ใส่ลิงก์ไว้ในทุก Press Release
  4. Twitter ถ้าไม่มีคนเล่น อย่างน้อยที่สุดใช้ส่ง feed จาก Press Release ไปพลางๆ  ก็ได้ ปรกติถ้าแบรนด์แข็งสักหน่อยก็จะมีแฟนคลับตามอยู่แล้ว
  5. Contact ใน Press ไม่มีใครอีเมลหรือโทรศัพท์ถามแน่ ใส่ RSS Feed, Facebook, Twitter โดยด่วนถ้ามี
  6. Embed, Embed, Embed ถ้าคุณอยากให้คนบล็อกถึง อำนวยความสะดวกในทุกๆ ทาง วีดีโอ, รูปภาพ ฯลฯ ต้องนำไป “วาง” ในบล็อกได้ นึกถึง YouTube เลือกขนาด, copy, วางในบล็อกได้ทันที ไม่ต้องทำเองก็ได้ใช้ Picasa ก็ทำได้เหมือนกัน
 

what if

it’s fairy tales that always told me about the one. the one that has a destiny to be with me. so long no see the person but surely that she’s somewhere and i supposed to found hers in sometimes.

what if….

what if…..

what if…..

 

เข้าขั้นบ้าแล้วนะ

Desktop

Desktop

สาระสำคัญ 3 x laptop, 4 x จอ, 1 x ผู้ใช้ (ไอ้ลิ่ว)

ไม่สำคัญ

  • มีลำโพงอีกสองชุด อยู่หลังจอกับใต้โต๊ะ
  • ซีดีที่วางอยู่หน้าจอนั่นคือ Win 7 Ultimate RTM NPR
  • เมื่อก่อนหลังจอมี Atom วางอยู่ตัวนึง ตอนหลังเปลี่ยนเป็น Wii (ใต้จอจะเห็น Sensor Bar วางอยู่)
  • HDD รวม 6 ลูก, 2 x Thumbdrive, SD อีกครึ่งโหล
  • มองไม่เห็น แต่มีมือถือวางอยู่สองเครื่อง
  • Adamo!!!!
  • ไขควงสองกล่อง ThinkPad บังอยู่
  • ใต้โต๊ะเป็นสายไฟ อนาถเกินไปที่จะให้เห็นได้
 

เล่ม เล่ม เล่ม

เป็นประเด็นหลุดออกมาจาก Pantip ไม่วายที่ Blognone จะร่วมแจม (อยู่ใน Blognone เอง)

ผมเขียนเรื่องนี้ไปทีนึงใน twitter แต่ดูเหมือน 140 ตัวอักษรจะไม่พอสร้างความไม่เข้าใจได้เยอะ เอาเขียนใหม่อีกรอบ

สรุปในบรรทัดเดียว __”ผมไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้ Word ในการทำเล่มวิทยานิพนธ์”__

MS Word เป็นเครื่องมือที่แย่มาก จนผมไม่เชื่อว่าจะมากเกินไปที่จะเรียกว่าเข้าขั้น “บัดซบ” เมื่อพบกับฟอร์แมตที่หนาแน่นจนไม่น่าเชื่ออย่างเล่มจบของบัณฑิตวิทยาลัย อย่างน้อยก็ของเกษตรศาสตร์

คุณเทพเขียนเรื่องนี้ไว้ละเอียดกว่ามาก โดยสรุป เครื่องมือ WYSIWYG อย่าง Word นั้นสร้างความสะดวกที่นำปัญหามาอย่างหนักเมื่อรูปแบบเอกสารมีรายละเอียดมากๆ เครื่องมือเช่นที่เป็น markup นั้นตอบสนองได้ดีกว่า แต่แลกมาด้วยการเรียนรู้ในช่วงแรกที่ยากกว่า

อันนี้ไม่พูดถึงว่ากฏเหล่านั้นมัน “เข้าท่า” หรือไม่นะครับ แอบถือซะว่ามันเข้าท่า และเอกสารควรเป็นตามกฏไปก่อนแล้วกัน

แต่ผมไม่ได้สนใจประเด็นเช่นนั้นนัก

มหาวิทยาลัยเลือกเครื่องมือที่ผิด เป็นเรื่องแย่ ไม่ใช่เรื่องผิด ม.เกษตรเอง อย่างน้อยในสมัยที่ผมเรียนอยู่ ก็มีความพยายามจะจัดหา MS Office ให้ใช้กันอย่างทั่วถึง ตอนนี้เข้าใจว่ามีปัญหาอยู่ แต่ก็น่าจะกำลังแก้ไขกัน

ถ้าเป็น ม. เอกชนอื่นๆ การกำหนดให้ MS Office เป็นเครื่องอุปกรณ์การเรียนภาคบังคับก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด

อาจะไม่เหมาะสมกับบางงาน อาจจะใช้ลำบากกับบางกรณี แต่ไม่ผิด

แต่ มก. ที่เป็นเรื่องนั้น เป็นหน่วยงาน “รัฐ”

ผมเชื่อว่าในฐานะความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐนั้นเอง มก. และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่หน้าที่สำคัญที่จะระวังไม่ให้การติดต่อใดๆ มีการบีบบังคับให้ใช้สินค้าของเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพราะมันจะเอื้อให้เกิดการผูกขาดในท้ายที่สุด

ผมไม่สนใจว่ากติกาจะเปิดโอกาสให้โอเพนซอร์สหรือไม่ ในความคิดผมแล้ว โอเพนซอร์สก็เป็นสินค้าจากเอกชนเช่นกัน ประเด็นของกติกาคือมันต้องไม่บังคับให้คนทั้งหมด ไปอิงแอบกับสินค้าใดๆ เพียงเท่านั้น

ดังนั้นแล้วต่อให้เปิดให้ใช้ PDF, OO.o หรือ LaTeX แต่ถ้ายังบังคับใช้ Angsana อยู่ ผมก็ไม่ได้คิดว่าอะไรมันดีขึ้นตรงไหน

การเอื้อให้มีการแข่งขันได้อย่างสมบูรณ์ต้องไม่มีจุดที่บีบให้ไปหาผู้ขายรายเดียว เช่น

– ไฟล์ .doc หรือ PDF
– ฟอนต์ Angsana หรือ DBthai

ฟอนต์อาจจะต้องใช้ไมโครซอฟท์ หรือซื้อฟอนต์ต่างหาก อาจจะไม่ใช่ของฟรี ไฟล์ PDF อาจจะสร้างจาก Word 2007 ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

สำคัญที่เรามือทางเลือก ไม่มีใครควบคุมเราได้ทั้งหมด เราเลือกอีกทางได้หากเราอยากจะเลือก