ไทยชนะ

คิดว่าควรเขียนถึงแอป Contact Tracing สักที หลังจากตอนนี้ค่อนข้างชัดแล้วว่า “ไทยชนะ” กำลังกลายเป็นบริการมาตรฐานสำหรับทุกที่ หลังจากที่ก่อนนี้มีโครงการแข่งกันทั้ง หมอชนะ, Thai.Care, และไทยชนะเอง (ที่จริงมีกลุ่มยิบย่อยอีกมาก แต่คงไม่พูดถึง)

หมอชนะเป็นตัวแรกที่เปิดตัวใหญ่โต แม้จะบอกว่าเป็น Contact Tracing บอกว่าให้คะแนนไม่เกินสีส้มหรืออะไรก็ตาม แต่ต้องพูดให้ชัดว่าแอปหมอชนะเป็น Social Scoring พยายามบอกว่าใครเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงโดยเอาแนวคิดจากจีนเป็นหลัก โดยส่วนตัวแล้วยินดีที่หมอชนะไม่ถูกเลือกมาใช้งานจากการกวาดข้อมูลผู้ใช้ที่มากเกินไป ในแง่ของฟีเจอร์ Contact Tracing แล้วหมอชนะกวาดข้อมูลจำนวนมาก ทั้ง location, การเข้าใกล้กัน, รวมไปถึงรูปภาพ (ทีมงานบอกว่าไม่แน่ใจว่าแค่ไหนถึงพอ) ในแง่เทคนิคแล้วการทำ Contact Tracing ของหมอชนะเปิดให้มีการติดตามตัวผู้ใช้จาก third party ได้

ไทยชนะดูแล้วมีแนวทางออกแบบให้ “พอๆ” กับ logbook ตามหน้าร้าน แนวคิดคล้ายกัน และกระบวนการตรวจสอบก็ไม่ต่างกันมาก คือไม่ตรวจสอบอะไรเลยนอกจาก “ลงชื่อ” แล้ว ข้อดีคือลงเบอร์คนอื่นได้ ลดความยุ่งยากในหลายกรณี เช่น เบอร์กลางของบ้าน แม้จะไม่ได้ตั้งใจปิดบังตัวตน แต่การใช้หมายเลขโทรศัพท์อื่นได้ก็ลดความเสี่ยงไปมาก ผมเองก็ใช้เบอร์ที่ “ตามตัว” ได้ แต่ไม่ใช่เบอร์โทรหลัก

แอปพวกนี้มีความกังวลสองด้านใหญ่ ด้านนึงคือความไว้ใจตัวผู้ดำเนินการ อีกด้านคือความเลินเล่อจน data breach ออกมาทั้งหมด ความเสี่ยงสูงสุดคือข้อมูลทั้งหมดรั่วออกมา ซึ่งคนที่ยิ่งเก็บข้อมูลมาก ความเสี่ยงก็จะมากตามตัว การเก็บ location ทำให้ track ได้ทั้งหมดว่าใครเคยไปที่ไหนมาบ้าง แม้ว่าเราอาจจะบอกว่า logbook หน้าร้านเสี่ยงกว่าเพราะไม่มีมาตรการป้องกันอะไร แต่ฐานข้อมูลก็มีขนาดเล็กกว่ามาก

ไทยชนะนั้นเก็บข้อมูลการเช็คอินซึ่งก็คือพิกัดอย่างหยาบ ข้อดีมากคือไม่มีข้อมูลสถานที่ส่วนตัว (บ้าน, เส้นทางเดินทาง ฯลฯ) มีแต่จุด check-in เท่านั้น แต่ก็ต้องนับว่าเป็นข้อมูลพิกัดอยู่ดี หากรั่วไหลออกมาผู้ใช้ก็อาจจะถูกตามตัวได้ว่าไปร้านหรือห้างใดมาบ้าง ข้อมูลเช่นนี้ในชาติตะวันตกหลายชาติก็มองว่ามากเกินไปแล้ว

ในแง่ของข้อมูลที่เปิดออกมา ไทยชนะเปิดเผยข้อมูลปริมาณผู้ใช้ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหลายคนอาจจะกังวลในแง่ของ business intelligence โดยเฉพาะห้างและร้านอาหารหลายที่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การติดตามได้ว่าร้านใดยังได้รับความนิยมมีมูลค่าสูงพอที่จะมีคนพยายามเก็บข้อมูลแน่นอน แต่ทั้งนี้ข้อมูลในช่วงนี้ก็น่าจะต่างจากข้อมูลก่อนหน้าและหลังจากนี้ที่สถานการณ์ COVID คลี่คลายไปมาก

เทียบกับ Exposure Notification API แล้ว ข้อมูลที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์จริงๆ จะมีเพียง contact ของผู้ที่ยืนยันว่าติดเชื้อเท่านั้น การ breach จะแทบไม่มีผลอะไรมากนัก เพราะไม่มีข้อมูลพิกัด แม้แต่พิกัดอย่างหยาบ ข้อมูลที่อัพโหลดมีเพียง ID ที่ต้องการแจ้งเตือนเท่านั้น

จุดสำคัญอีกจุดคือการใช้งานได้จริง ศบค. ระบุว่าหากผู้ใช้ไทยชนะได้รับแจ้งเตือนจะได้ตรวจ COVID ฟรี แต่คำถามคือเกณฑ์การแจ้งเตือนจะเป็นอย่างไร เพราะพื้นที่ที่ลงทะเบียนไทยชนะนั้นมีตั้งแต่ร้านชาไข่มุกที่ไม่มีที่นั่ง ไปยันห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ เช่น Central World นั้นมีความจุเต็มพื้นที่เกือบแสนคน หากมีคน checkin แล้วป่วยจริง เราจะกวาดคนทั้งห้างไปตรวจทั้งหมด? หรือหากไม่ไหวก็อาจจะควรพิจารณาลดการลงทะเบียนให้เหลือแค่พื้นที่เล็กพอ (ร้านไม่เกิน 1,000 คน?) ส่วนพื้นที่ใหญ่กว่านั้นใช้มาตรการจำกัดคนเข้าออก นับคนเร็วๆ ไม่ให้แน่นเกินไปก็น่าจะพอแล้ว

 

Empathy to All

วันจันทร์แรกหลังปิดห้าง ผมเองยังไปทำงานที่สำนักงานอยู่ แต่คนหายไปจำนวนมากแล้ว ผมเดินไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวประจำที่กินมาแล้วสิบกว่าปี (จะว่าประจำคงไม่เต็มปาก เพราะบางเดือนก็ไม่ได้กินทั้งเดือน)

โซนฟู้ดคอร์ดนั้นโต๊ะหายไปทั้งหมด ร้านอาหารปิดไปกว่าครึ่ง แต่ร้านที่ผมจะกินยังคงเปิดอยู่ ผมเดินไปสั่งแบบกลับบ้านเพื่อนำไปกินในออฟฟิศ พร้อมทักทายกับแม่ค้าเล็กน้อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แม่ค้าอายุราวแม่ผมตอบกลับมาว่าก็ไม่ค่อยดีแต่จะดูตอนเที่ยงอีกที

เรื่องน่าแปลกใจคือผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนั้นแทบจะเป็นวันแรกที่ผมได้คุยกับเธอ เพราะตลอดสิบกว่าปีนี้ แม้ช่วงคนน้อยๆ ก็ยังมีคนซื้อเรื่อยๆ ทำให้ผมรีบซื้อรีบกินรีบไปตลอดมา

ผมมองไปรอบๆ ประเมินว่าด้วยปริมาณคน ร้านค้าไม่สามารถเปิดได้ครึ่งเดียวเท่านี้หรอก ผมขึ้นลิฟต์สำนักงาน คนมาทำงานที่สำนักงานไม่ถึง 1 ใน 5 แล้ว

ผมตั้งใจว่าพยายามกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่ผมยังไปทำงานอยู่ ความฝันเล็กๆ คือ อย่างน้อยร้านที่ผมกินมานานรอดสักร้านก็ยังดี

วันที่สี่ผมกลับไป ร้านนั้นก็ไม่เปิดอีกแล้ว

วิกฤติครั้งนี้บุคลากรสาธารณสุขคือด่านหน้าสุดแน่นอน เราควรให้กำลังใจกัน แต่อย่าลืมว่าทุกมาตรการ มันมีคนแบกรับอยู่ข้างหลัง พวกเขาแบกรับด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง หลายคนหมดรายได้ หลายคนอาจจะถึงกับขาดทุน หลายคนกำลังแบกเงินเดือนลูกน้องที่อยู่กันมานาน

มาตรการที่ต้องบังคับก็ต้องมี แต่การบังคับและขอร้องควรเต็มไปด้วยความเห็นใจ เข้าใจกันว่าแต่ละคนก็มีความจำเป็นของตัวเอง วางมาตรการอะไรก็หาทางออกให้พวกเขาด้วย

อย่างน้อยก็ระบุความจำเป็นด้วยน้ำเสียงแห่งความเข้าใจถึงความลำบากของคนอื่น อย่าใช้น้ำเสียงโทษคนข้างหลังเลย

 

Crash Landing on You

น่าจะเป็นละครเกาหลีเหนือเรื่องแรก (หนัง/หนังสือนี่เยอะแล้ว) และเรื่องราวเบาสมอง สนุกตลกกว่าทุกเรื่องที่เคยดูมา Son Ye Jin ยังคงเล่นได้ดีมาก แม้เรื่องก่อนๆ จะเน้นเครียดกว่านี้เยอะ

[Spoil!]

เนื้อเรื่องของ Crash Landing on You ไม่ได้พูดถึง ความโหดร้ายของเกาหลีเหนือเท่าไหร่นัก แตะๆ บ้างคือมีเด็กจนๆ วิ่งไปมาในฉาก ตัวประกอบหลักทั้งหมดเป็นคนชั้นกลางค่อนสูง มีชีวิตที่ปัจจัยสี่ไม่ได้เลวร้าย หลายคนอยู่ในระดับรวยแม้เทียบนอกเกาหลี

แม้จะสร้างภาพที่สวยงามเกินจริง แต่เนื้อเรื่องกลับฝันถึงสายสัมพันธ์ที่ไม่มีอยู่จริง ความปรารถนาว่าสองเกาหลีจะกลับมาเป็นชาติเดียวกันอีกครั้ง

แม้เรื่องจะจบอย่างมีความสุข แต่ภายใต้ความสุขนั้นคือความโหดร้ายของการแยกสองเกาหลีออกจากกัน สายสัมพันธ์ที่ต้องพลัดพราก ข้อความถึงคนในหมู่บ้านที่ห่างไปไม่ถึงสองร้อยกิโลเมตรแต่กลับเจือจางได้เพียงกล่องเครื่องสำอางค์ ช่วงเวลาที่พระนางมีความสุขในตอนจบนั้นเป็นความสุขที่มีได้เพียงปีละสองสัปดาห์ จากการเสี่ยงตายของทั้งคู่

สายสัมพันธ์และความฝันนี้แทบไม่มีอยู่จริงในโลกความเป็นจริง คำร้องขอพบญาติน้อยลงเรื่อยๆ ผู้ขอกลายเป็นผู้สูงอายุขึ้นไปตามระยะเวลาที่สองเกาหลีที่แยกขาดจากกัน สองชาติกำลังไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปภายใน 20-30 ปีข้างหน้า

ความไม่สมจริงของเรื่องจึงไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นของมันคือการแสดงความฝันว่า จะดีแค่ไหนถ้าสองเกาหลียังมีปฎิสัมพันธ์กัน จะดีแค่ไหนถ้าสองเกาหลียังเชียร์บอลด้วยกันได้ และความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องของการมองฟ้า

ปล. สวิสนี่สวยจริง และพบว่า Interlarken ที่คนชอบไปเล่น glider กันนี่นักท่องเที่ยวเกาหลีเยอะกว่าชาวจีน

 

May be you should talk to someone

หนังสือเล่มที่ 4 ของปีนี้ที่อ่านจบ เป็นเรื่องราวของนักบำบัดจิตวิทยา เขียนพาเราเข้าไปประสบกับการบำบัดของคนไข้ 5 คน รวมถึงตัวนักบำบัดเอง (ที่ไปให้คนอื่นบำบัด)

หนังสือเล่าถึงประสบการณ์ว่าทำไมคนเราจึงต้องไปบำบัด สร้างภาพให้คนเข้าใจว่าคนเราบางครั้งก็ผ่านเรื่องราวหนักหนาเกินไปที่หาทางออกไม่ได้ และการบำบัดก็อาจจะเป็นทางหนึ่ง พร้อมกับการหาสาเหตุของพฤติกรรมที่นำไปสู่การพบปัญหานั้นซ้ำๆ

หนังสือเขียนสนุก และตลกในบางมุมอยู่เรื่อยๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันเป็นหนังสือขายดีอยู่นาน ขณะเดียวกันก็เล่าถึงปัญหาภาพใหญ่ที่คนอเมริกันนิยมการใช้ยารักษาแทนการบำบัด เพราะได้ผลเร็วกว่า

อ่านได้เรื่อยๆ เหมือนอ่านนิยาย เนื้อเรื่องสลับหว่างอาจจะทำให้งงบ้างช่วงแรกๆ แต่พออ่านจบแล้วรู้สึกผูกพันกับทั้งสี่คน ในมุมหนึ่งก็คงคิดได้ว่าหากมีเรื่องร้ายแรงในชีวิตแล้วรับไม่ไหว ก็อาจจะต้องหาคนบำบัดไปนั่งคุยด้วยเหมือนกัน