เพิ่งสมัคร Apple Music + iflix กับเขา รับรู้ความเป็น “อนาคต” ของบริการสตรีมมิ่งด้วยตัวเอง เป็นโน้ตความคิดแบบกระจายๆ อีกแล้ว
- บริการ broadcast นั้นเป็นขาลงอย่างเต็มตัว อาจจะยกเว้นเพียงช่องข่าวเท่านั้น
- ความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะกระทบหนักสุดคือ ละครทีวีและรายการวาไรตี้เกมโชว์ทั้งหลาย
- ความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือเราไม่สามารถบอกได้ว่า ช่องทีวีคือช่องทางถ่ายทอดหลักได้อีกต่อไป ในบยุคต่อไป (อาจจะภายในสิบปีข้างหน้า) ช่องทางรับชมรายการรายการประเภทนี้จะผ่านทั้งทีวี และสตรีมมิ่งอื่นๆ ในสัดส่วนสำคัญพอๆ กันหรือมากกว่ามาก
- รายการจะยังมี “ช่วงเวลา” ต่อไป รูปแบบที่เราเห็นในทุกวันนี้คือละครอย่างฮอร์โมน, รายการทีวีอย่าง The Voice ช่วงเวลาเป็นเพียงการบอกหมุดหมายของการ “เริ่มแพร่ภาพ” เท่านั้น ไม่ใช่ตารางทีวี
- ภาพที่ชัดที่สุดคือ YouTube ในตอนนี้ มีรายการสด จบรายการแล้วปล่อยวิดีโอต่อเลย
- ปัญหาสำคัญคือเด็กรุ่นต่อไปจะไม่ชินกับการดูตามตารางเวลาเป็นหลัก พวกเขาโตมากับ YouTube แม้ว่าอาจจะมีบางรายการที่พวกเขา “ติ่ง” พอที่จะขวนขวายให้ได้ดูพร้อมคนอื่นบ้าง
- แต่รายการส่วนมากพวกเขาก็แค่อยากดู “เร็วๆ หน่อย” ตามตารางที่พวกเขาจัดเอง วันนี้อยากดูละคร วันนี้กลับดึกอยากโต้รุ่งด้วยรายการเกมโชว์ ฯลฯ
- คนกลุ่มนี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนรายการทิ้งไม่ได้ ต้องปล่อยรายการออกแทบจะทันที (The Voice เป็นไปแล้ว)
- ระบบเรตติ้ง จะเป็นคำถามว่ามันจะอยู่กับรายการอย่างไร รายการที่ไม่มีใครดูสด อาจจะคนดูเยอะมหาศาลเมื่อปล่อยวิดีโอไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ ตัวอย่างตอนนี้ก็ WorkPoint ใน YouTube
- เรตติ้งทีวีมีปัญหาในตัวมันเอง เพราะมันเป็น “บุญเก่า”รายการที่เรตติ้งดีแต่บางตอนไม่สนุกก็จะเรตติ้งดีต่อไป เพราะคนคาดหวังจากตอนที่แล้ว ขณะที่ละครบางเรื่องอาจจะสนุกแต่ผิดพลาดในการโปรโมทแม้จะได้เรตติ้งดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องรับ “กรรมเก่า” คนดูค่อยๆ เพิ่ม
- การปล่อยรายการทันทีและนับรวมคนดูย้อน (ซึ่งอาจจะดูหลังเวลาจริงไม่ถึงวัน รอเวลาให้ไวรัลมันวิ่งแป๊บเดียว) เข้าไว้ในสถิติน่าจะยุติธรรมกับรายการมากกว่า
- โมเดลรายได้ยังเป็นคำถามว่าจะเป็นอย่างไร โฆษณาต้องซื้อขาดในแต่ละตอนหรือไม่ หรือสามารถเปลี่ยนโฆษณาเมื่อผ่านช่วงเวลาไป รายการตอนคลาสสิกมากๆ ก็อาจจะมีคนดูไม่หยุดเป็นปีๆ รวมถึงการขายรายการผ่านสตรีมมิ่งเสียเงินดูจะต้องตัดโฆษณาออกหรือไม่ อันนี้ YouTube Red ก็มีประเด็นความสับสนเรื่องนี้
- “เดา” ว่าในอนาคตโฆษณาแฝงที่ฝังในรายการจะเป็นโฆษณาขายขาดประเภทเดียว ที่เหลือคงขายแยกและขายใหม่ไปได้เรื่อยๆ
โน้ตความคิดตัวเองไว้หน่อย (กระจายมาก จะเรียกบทวิเคราะห์คงไม่ถูก)
- ราคาแพงมีสาเหตุสำคัญเพราะการเมืองไม่นิ่ง การประมูลไม่น่าเชื่อถือ คลื่นจะหมดอายุมีเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร วันนี้มีอะไรคว้าได้ต้องรีบคว้า
- ในอนาคตถ้ามันนิ่ง (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนปกครอง แต่ถ้ามัน “นิ่ง”) คาดเดาได้พอสมควรว่าเมื่อไหร่จะมีคลื่นให้ประมูลบ้าง ราคาก็ไม่น่าจะแพงแบบนี้อีก
- การย้ายไป 4G ของไทยไม่ได้ล่าช้าเวอร์ๆ แบบ 3G ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงจะไม่มากเหมือนเดิมอีกแล้ว
- สมัย 3G มาเราเห็นรายได้ฝั่ง data เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (แม้จะมาพร้อมกับการล่มสลายของค่าบริการ voice) แสดงว่าคลื่นใหม่มันมาพร้อมกับค่าบริการแบบใหม่
- 4G ไม่มีอะไรใหม่ มันคือ data เหมือนเดิม ที่ได้เพิ่มมาคือ bandwidth
- ในแง่ความเปลี่ยนแปลงกับคนใช้งานจึงไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากนัก เราจะเห็นเน็ตติด FUP กันต่อไป อาจจะใจดีขึ้นหน่อย มาตรฐานต่อไปอาจจะขึ้นต่ำ 324kbps สำหรับโปร 199 ต่อเดือนอะไรแบบนั้น คนใช้หนัก ทน FUP ไม่ได้จะยังคงต้องซื้อแพ็กเกจใหญ่กันต่อไป
- แต่ bandwidth ที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะเอามาทำเป็นสินค้าใหม่ เราน่าจะเห็นโปรประเภท 5GB 50 บาทอะไรแบบนั้นเพื่อเรียกให้คนจ่ายเพิ่ม
- “เดา” ว่าอนาคตจะมีโปรประเภทเน็ตกลางคืนถูกมากๆ มาเพิ่มอีกต่อ เหมือนสมัย 2G ที่เป็นโปรโทรกลางคืน คือทำยังไงก็ได้ให้คนจ่ายเพิ่ม
- โจทย์ใหญ่ของโอเปอร์เรเตอร์คือการหาช่องทางให้คนจ่าย เพราะพอเป็นบริการแบบ All-IP โอเปอร์เรเตอร์กลายเป็นเพียง link provider เท่านั้น
- แต่บริการที่ควรสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเพลงและโทรทัศน์ โอเปอร์เรเตอร์กลับบุกได้ไม่เร็วพอ iflix, HOOQ, Apple Music, JOOX บุกตลาดอย่างรวดเร็ว อาศัยความเชี่ยวชาญในวงการสร้างฐานข้อมูลสื่อได้ใหญ่กว่า
- ไม่ชัดเจนว่าในอนาคตโอเปอร์เรเตอร์จะทำได้ระดับเดียวกันไหม ถ้าทำได้แล้วไปพ่วงกับ data package เช่น ดู streaming แบบ SD หรือเฉพาะเพลง ไม่คิด data แบบนั้นก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ (แต่มันจะคุ้มหรือไม่อันนี้คงต้องดู bandwidth รวมว่าจะให้บริการได้จริงไหม)
คิดมานานว่าปัญหาโคมลอยของบ้านเราน่าจะใช้เทคโนโลยีแก้กันได้แล้ว
- โคมลอยลอยด้วยลมร้อน เอาเข้าจริงก็ใช้ไฟอังให้มันลอยขึ้นไปได้
- ไฟสวยๆ ใช้ LED เอาน่าจะได้ LED สมัยนี้จำลองเทียนเหมือนกว่าเมื่อก่อนมาก
- เรื่องความปลอดภัย ในกรณีไม่มีไฟไหม้ ก็ยังมีเรื่องท้องถนน ที่โคมพวกนี้ลอยไปตัดหน้ารถ อันนี้น่าจะทำให้มันตกในระยะทางที่ควบคุมได้ไม่เกิน 500 เมตรอะไรว่าไป
- ในแง่เทคโนโลยีใช้ microcontroller สักตัว จับเวลาไว้สักสิบนาที ครบก็ปิดไฟ เปิดวาล์วให้มันร่วงลงมา
- เก็บง่าย เอามาใช้ซ้ำได้ ควบคุมได้ น่าจะชนะกันทุกคน