เมื่อวานลง Ubuntu ใหม่ แล้วหา USB มาทำ installer กวาดๆ ดูในเก๊ะได้อันที่น่าจะไม่ได้ใช้นานแล้วมาหนึ่งอัน
เสียบเครื่องไป LUKS เด้งขึ้นมา ลองรหัสผ่านอยู่สี่ห้าอัน ผิดหมด เดาๆ ตัวเองว่าน่าจะเป็นตัวที่ทำไว้สมัยหัด LUKS ใหม่ๆ รหัสน่าจะมั่วๆ เลยจับ format ทิ้งเลย เอามาใช้งาน
ความคิดแว๊บขึ้นมาในหัวว่าถ้าวันนึงโดนค้นบ้านแล้วเจอไอ้แบบนี้ จะต้องเข้าคุกโดยไม่เจออะไร แต่ไม่มีปัญญานึกรหัสไปบอกเขาไหม

ดูจาก iflix เหมือนเดิม พบว่าน่าสนใจกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยดูหลายประเด็น
- นำเสนอมุมมองสังคมต่อคนเคย “หย่า” แม้แต่ผู้ชายเองก็เป็นจุดด่างพร้อย
- ผู้หญิงนี่ยิ่งหนัก โดนมองว่า สกปรก (ในเรื่องนี่ตอนนึงพูดถึงขนาดว่าเคยเป็นแฟนกับหลายๆ คนก็ถือว่าสกปรกแล้ว) ช่วงแรงๆ นี่มีมุมมองว่าผู้หญิงที่หย่ามาแล้วเป็นผู้หญิง “ง่าย” ไปเลย
- มุมมองแบบนี้นำไปถึงคำถามว่าจะหย่าดีไหม ในเรื่องนำเสนอคู่ที่ “น่าจะ” หย่ากันไป แต่ก็ไม่หย่า
- Ji Hyo เล่นด้วยบทบาทตัวเองใน Running Man ร้อง “ย่า!” มันทั้งเรื่อง คาแรกเตอร์ไม่เปลี่ยน อันนี้คงเอามาเป็นจุดขายนึง คนดูอาจจะจำภาพแบบนี้ไปแล้ว กลับไปเป็นสวยเย็นๆ แบบ Princess Hours ไม่ได้แล้ว
- เล่นกับคำว่า Emergency ด้วยการที่ตัวหลักๆ เป็นหมอ ER กันหมด และพระเอกนางเอกแต่งงานกันแบบด่วนๆ
- Deuter นี่ “เกือบ” จะเข้ากับเนื้อเรื่อง เป็น token of appreciation จากนางเอกให้หัวหน้า แต่ทั้งเรื่องไม่มีเดินป่า ไม่มีอะไรเลย อยู่ๆ ใส่แจ็คเก็ตกันลมเข้าผับมันก็เกินไปหน่อย แถมต้องให้คนอื่นมานั่งชมว่าดูดีอีก เลี่ยนเกิน
- ตอนนางเอกเดินเข้าช็อปก็ตะลึงไปหน่อย พี่ตัดเข้าโฆษณาเลยก็ได้ครับฉากแบบนี้
- แต่เอาล่ะ มันก็มีส่วนในเนื้อเรื่อง พอทนๆ อันนี้แป๊บซีใน กวน มึน โฮ บ้านเรายังทำดีกว่าอีก (ไม่นับชิ้นอื่นที่ใส่มาเลวๆ)
- ฉากพระเอกร้องเพลง The Scent of Flower (ซึ่งน่าจะเป็นฉากสำคัญ) ตัดต่อแบบปากไม่ตรงเพลง น่ารำคาญพอดู
- ฉากรักษาคนไข้โหดได้ใจ ดู House MD มันทำ LP มาแทบทุกตอนยังไม่ค่อยเห็นเข็ม อันนี้จิ้ม LP ให้ดูจะๆ เด็กเล็กอีกต่างหาก
- จบแบบ essay แบบเดียวกับเรือง Flower Boys Next Door โดยรวมๆ ก็ชอบการจบแบบนี้ คือมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นไงหรอก แต่ฉากนี้ของชีวิตมันผ่านไปได้แล้ว
- คู่รอง Han A-Reum กับ Im Yong-Kyu ใช้โฆษณาหูฟัง Beats โดยเฉพาะ ตอนหลังให้น้ำหนักกับคู่นี้มาก ชนิดแล้วทั้งสองก็รักกันตลอดไปเพื่อจะใส่หูฟังฟังเพลงด้วยกัน เสียสมดุลเรื่องตอนท้ายไปเยอะ (คู่หัวหน้าที่สำคัญกับเนื้อเรื่องกว่ายังไม่เฉลยขนาดนี้)
- เข้าใจว่าเรตติ้งคงดี เพราะเป็น 21 ตอน แต่ตอนท้ายๆ พี่ flashback ไปมาเรื่อยๆ แบบนี้มันก็แย่ไปนะ
จากข่าว Oracle v. Google คิดว่าการที่กูเกิลชนะท่า Fair Use ไม่ใช่ท่าที่ดีนัก มีประเด็นที่ควรจดไว้ถามผู้รู้ (ด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาสหรัฐฯ)
- การเป็น fair use มีข้อจำกัดกว่าการไร้การคุ้มครองไปเลยหลายอย่าง
- สิ่งสำคัญในการอ้าง fair use คือ งานต้องไม่มากเกินไป (เมื่อเทียบกับเนื้องานทั้งหมด) เช่น หนังสือ 100 หน้าก็อปได้ 1 หน้า กรณี API เป็น fair use ยังไม่มีบรรทัดฐานเสียที่เดียวว่าแค่ไหน ถ้า API บางอย่างมันเยอะเข้าจะใช้งานได้ต่อไปไหม เช่นพวก util lib ทั้งหลาย โค้ดจริงอาจจะยาวกว่า API ไม่ถึงสิบเท่าตัว ต่อให้เขียนใหม่ตัวประกาศ API ก็อาจจะเกิน 10%
- กรณีแอนดรอยด์ การแพ็กรวมแอนดรอยด์ทั้งหมด (ไม่ใช่แค่จาวาในแอนดรอยด์) ทำให้โค้ด Java ที่ถูกสำเนามาใช้งานมีระดับต่ำ กรณีที่ทำ lib ประเภท drop-in replacement ก็จะมีคำถามหนัก อย่างกรณีจาวา ถ้าคนทำออราเคิลหันไปฟ้อง Apache Harmony จะรอดไหม และหลับไปคำถามข้อที่แล้วคือ งานใหม่ที่เทียบกับ API ที่สำเนามาก็จะน้อยลง จะรอดไหม?
- โดยส่วนตัวสนับสนุน copyright reform ให้ถอดการคุ้มครองส่วนนี้ทิ้งไปเสียเลย การประกาศส่วนเชื่อมต่อซอฟต์แวร์เข้ากับซอฟต์แวร์รายอื่น (public API) ให้ไม่มีลิขสิทธิ์ ฮาร์ดแวร์ประกาศแบบเดียวกันได้ไหม? ระบบบัสเช่น SPI, I2C จะไม่มีลิขสิทธิ์ได้ไหม อันนี้่น่าสนใจต้องหาข้อมูลต่อ ส่วน lib ที่ใช้ภายในไม่ได้ยกเว้นไปด้วย (กลับไปแบบ Alsup ว่า แต่อาศัยกระบวนการแก้กฎหมายแทน)