ปรัชญา Minesweeper #2

คนเราเมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้นั้นเป็นเพียงการคาดเดา

เราตระหนักดีว่าไม่ว่าเราจะพิจารณาไปอีกนานเท่าใด ข้อมูลทั้งหมดจะไม่ช่วยให้เราตัดสินใจดีขึ้น

แต่หลายๆ ครั้งเราก้ยังรอ เราจดจ้องเพราะการตัดสินใจครั้งนั้นช่างยิ่งใหญ่ งานทั้งหมดที่เราทำมาอาจจะขึ้นอยู่กับมัน

เรารอไปเรื่อยๆ โดยสูญเสียอะไรไปหลายๆ อย่าง ทั้งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าการรอนั้นไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย

 

มติ

กำลังคิดว่าเราอาจจะสร้าง community ที่กระบวนการเป็นแบบกึ่งโปร่งใสได้ (แค่โปร่งแสงไปก่อน)

  • เลือกกรรมการชุดเล็กๆ มา อาจจะซักสิบคนที่ไม่แอบไปเที่ยวพร้อมกัน (ห้ามจัด meeting ชุดนี้)
  • ขอการรับรองจากสมาชิก ดังนั้นชุดเล็กๆ นี้อาจจะต้องเป็นที่รู้จักหน่อย
  • เพิ่มสิทธิให้กรรมการมีสิทธิโหวต เพื่อคัดกรองเนื้อหาได้
  • การโหวตทั้งหมดเป็น blind vote ไม่มีใครรู้ของใคร ไม่มีใครรู้ว่าอันไหนโดนโหวตเท่าใหร่
  • ถ้าโหวตสามครั้ง ลบความเห็น กระทู้ ข่าว ฯลฯ (แค่เหม็นๆ ก็ลบได้)
  • ถ้าจะแบนสมาชิกอาจจะต้องซัก 7 (เป็น Super Majority)

คิดออกมาแล้วดูคล้าย สนช. แฮะ ไม่เอาดีกว่า

 

Book Pool Club

แม้จะเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว แต่ด้วยความที่เป็นคนสมาธิสั้น ทำให้ผมอ่านหนังสือได้ไม่ต่อเนื่อง เวลาอ่านๆ ไปแล้วพาลเบื่อเร็วมาก

วิธิการแก้ไขคืออ่านมันสี่เล่มพร้อมกัน สลับกันไปมา เล่มไหนจบก็หาเล่มอื่นมาเสียบ

ปัญหาคือด้วยนิสัยการอ่านอย่างนี้ทำให้ผมมีปัญหากับร้านเช่าหนังสือและห้องสมุดค่อนข้างมาก เพราะโอกาสที่จะอ่านไม่เสร็จทันกำหนดมีสูงมาก โดนปรับไปก็หลายรอบแล้ว

เลยคิดว่าน่าจะมีโมเดลการแลกเปลี่ยนหนังสือแบบใหม่  ที่คิดไวคร่าวๆ

  • ทำเป็น Forum ให้แต่ละคนนำหนังสือที่อ่านจบแล้วมาบอกกัน
  • ให้คนอื่นๆ เสนอหนังสืออื่นๆ เข้าไปแลกได้
  • หนังสือที่เข้าไปแลก ต้องมีมูลค่าตามหน้าปก +- 30% ของหนังสือที่เจ้าของเสนอไว้
  • มีระบบหลังไมค์ให้ไปแลกกันเอง
  • มีระบบ rating แบบ eBay

โดยนัยแล้วมันคือระบบของมือสองที่ไม่ต่างจาก eBay นั่นเอง แต่ไม่มีการแลกเงินแต่อย่างใด ไม่มีกำไรและขาดทุน เพราะเป็นของมือสองทั้งหมด อยากได้เล่มไหนก็ว่ากันไป

ถ้าทำระบบฐานข้อมูลหนังสือดีๆ ใส่หมายเลข ISDN ทุกครั้ง มีจัด Category ดีๆ เราอาจจะได้ Social Network ที่ีรวมเอาคนชอบอ่านในแนวเดียวกันเข้ามารวมกันได้จำนวนมาก

กะว่าจะเริ่มจากคนรู้จักก่อน โดยรวมกันในหมู่คนเขียนบล็อค ใครจะร่วมโครงการมาลงชื่อได้เลยครับ

 

ความฝัน

ว่ากันว่าคนเราดำเนินชีวิตอยู่ได้ ก็ด้วยว่ามีความฝัน เรามีจุดมุ่งหมายที่ยังไปไม่ถึงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราต้องดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตเพื่อสานความฝันเหล่านั้น

ครั้งหนึ่งผมเคยเขียนถึงความฝันด้านหนึ่งของผม มีคนถามผมว่าทำไมผมจึงเลือกเรียนและทำงานในสายงานนี้ ทั้งที่มันไม่สามารถส่งเสริมความฝันของผมได้แม้แต่น้อย

ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น  ในวันนั้น…

ความเป็นจริงคือ ความฝันในชีวิตของผม และน่าจะเป็นความฝันของคนจำนวนมาก ไม่ได้มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง คนจำนวนมากอาจจะฝันอยากเป็นดารา คนจำนวนมากกว่าอาจจะฝันอยากรวยพันล้าน คนจำนวนเพียงน้อยนิดอาจจะฝันอยากได้รับรางวัลโนเบล คนจำนวนไม่น้อยฝันทุกอย่าง

ข่าวร้ายคือ แทบไม่มีใครสานความฝันของตัวเองได้ครบถ้วน

เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว เราต้องเลือกที่จะเสียโอกาสในการสร้างความฝันบางส่วนของตัวเอง เพื่อสร้างโอกาสในการสานความฝันด้านอื่นๆ เรื่องนี้เป็นความจริงของชีวิตที่ยากจะหลีกเลี่ยง

แต่สิ่งที่แย่คือวันหนึ่งที่เราเข้าใกล้ความฝันบางอย่าง แล้วลืมความฝันทั้งหมดที่เหลือ ที่มันประกอบเป็นตัวเราขึ้นมา จนวันหนึ่งความฝันอันยิ่งใหญ่นั้นก็สำเร็จลง

แล้วเราก็ยืนถามตัวเองว่าเราเป็นใครกัน ด้านที่เหลือของเราหายไปไหน…..