Matrix

วันนี้เจอเรื่องน่ารำคาญจากห้องสมุดเลยนึกถึงบางเรื่องขึ้นได้…

ผมคิดมานานแล้วว่าบ้านเราระบบราชการไทย น่าจะเป็นระบบหนึ่งที่มีการตรวจสอบและวัดผลมากที่สุดในโลก แต่น่าข้องใจเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมจึงดูเหมือนว่าระบบที่ว่านี้จะเป็นระบบที่แย่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน

เรื่องหนึ่งที่คิดขึ้นได้คือปัญหาของระบบราชการไทย ไม่ได้เกิดจากการขาดการวัดผล หากแต่ปัญหาอยู่ที่การวัดผลที่ผิด

สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม้จะมีการทำตามจนการประเมินผลดีขึ้นอย่างมากแล้ว แต่คุณภาพการทำงานก็ยังไม่ได้ดีอะไรขึ้นมา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่เราๆ น่าจะเคยเห็นป้ายโฆษณาถึงความตรงเวลาของรถไฟฟ้า ที่น่าสนใจคือผมเชื่อว่าไม่ว่ารถไฟฟ้ามันจะตรงเวลาแค่ไหนก็ตาม เราๆ ท่านๆ จะไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากมันเลย เพราะสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของความตรงเวลาของรถไฟฟ้า แต่เป็นความเร็วในการเดินทางต่างหาก

มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอกว่ารถเข้าป้ายตรงเวลา (เวลาไหนบ้าง???) สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือการที่เราเข้าสู่สถานีแล้วเราสามารถไปโผล่ที่สถานีปลายทางได้อย่างรวดเร็วต่างหาก

สิ่งที่รฟม. ควรทำจึงไม่ใช่การวัดความตรงเวลาของรถไฟ แต่เป็นการวัดเวลาของคนที่ค้างในสถานีว่าต้องรอรถและเดินทางเฉลี่ยกี่นาทีกัน

เรื่องราวของห้องสมุดเป็นเรื่องราวแบบเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่ห้องสมุดมักมีแนวคิดจะทำให้ห้องสมุดนั้นเรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ หนังสือทุกเล่มต้องอยู่ในตู้อย่างเป็นระเบียบ และห้องสมุดควรเงียบเท่าที่จะเงียบได้

คำถามใหม่คือหน่วยงานจำนวนมากลงเงินไปให้ห้องสมุดนั้น สุดท้ายแล้วหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ต้องการความเงียบ หรือระเบียบของหนังสือแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ต้องการจริงๆ กลับเป็นเรื่องของการได้รับประโยชน์จากตัวห้องสมุดไม่ว่าจะเป็นสถานที่และหนังสือ

ห้องสมุดจำนวนมากเริ่มมีโซน “ส่งเสียง” เพื่อให้คนที่เข้ามาใช้บริการสามารถพูดคุยกันได้ ผลคือคนเริ่มเข้ามาใช้ห้องสมุดกันมากขึ้น หลายๆ ที่ไปไกลกว่านั้นโดยการเปิดโอกาสให้นำของกินเข้าไปกินได้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมีห้องสมุดที่เรียบร้อยแต่ไม่มีใครเข้าไปใช้งาน หลายๆ ที่เริ่มให้ความสำคัญกับ “ตู้โชว์” หนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้คนเห็นหนังสือที่น่าสนใจได้ง่าย และยืมออกไปอ่านกันมากขึ้น แทนที่จะดองมันไว้ในตู้

ภาคเอกชนเองก็เริ่มปรับตัวในเรื่องแบบนี้กันไปแล้ว หลายๆ ที่พยายามไม่วัดประสิทธิภาพลูกจ้างจากเวลาทำงานแบบเดิม เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่ให้พนักงานเข้ามานั่งเมาน์ในออฟฟิศอย่างตรงเวลา ที่วัดจากปริมาณงานเป็นหลัก

ก่อนที่เราจะเริ่มวางระบบการตรวจสอบคุณภาพ คำถามแรกของเราน่าจะเป็นคำถามที่ว่า “คุณภาพคืออะไร”

 

การเรียนรู้

ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กมาพอดู (แปลกไหมที่อ่านหนังสือแนวๆ นี้ตั้งแต่มัธยม) ประเด็นหนึ่งที่หนังสือแนวนี้จะพูดถึงว่าเป็นความผิดพลาดของพ่อแม่คือการที่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกได้ผิดพลาดบ้าง

การเรียนรู้เป็นเรื่องที่แปลก เราไม่สามารถเดินในเส้นทางที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาแล้วจะตระหนักได้ว่าทางนั้นมันเป็นทางที่ถูกต้อง หากเราเดินอยู่บนทางที่ถูกต้องอยู่ตลอดแล้ว เราเองจะเริ่มสงสัยว่าทางที่เราเดินนั้นมันถูกต้องจริงๆ รึเปล่านั่นเอง

จึงเป็นเรื่องปรกติที่การเรียนหลายๆ ครั้งแล้วเนื้อหาในส่วนของการปฏิบัติจะมีการให้ทำการทดลองบางอย่าง ทั้งที่มวลความรู้ของผู้เรียนไม่เพียงพอ นั่นก็เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสลองผิดลองถูกบ้างก่อนที่จะเรียนรู้สิ่งต่อๆ ไป

การสั่งสอนจึงไม่ใช่การที่จะไม่ยอมให้ผู้เรียนทำอะไรที่ผิดพลาด ตรงกันข้ามเราควรชี้นำให้เกิดความผิดพลาดในระดับที่เราดูแลได้ขึ้นบ้าง เพื่อที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ถึงตอนนั้นเราจึงชี้ทางที่ถูกต้องให้ผู้เรียนให้เขาได้ตระหนักว่าการเดินทางที่ผิดนั้นมีข้อดีข้อเสียต่างจากทางที่ถูกอย่างไร

แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะพ่อแม่ หรือฐานะผู้สอนในเรื่องใดๆ ก็ตาม คุณจะพบว่าการปล่อยให้ผู้เรียนผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ และการควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอาจจะมากยิ่งกว่าการบังคับให้ทำเรื่องที่ถูกต้องไปตรงๆ เสียอีก

แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าเราอยากให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น สิ่งเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้

 

สื่อสารมวลชน

ข่าวพม่ากำลังร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเตรียมการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆ อย่าง

ที่สำคัญที่สุดคือสื่อบ้านเราในเรื่องนี้แล้ว กลับเสนอมุมมองจากทั้งในและนอกพม่าได้อย่างครบถ้วน

ผมสงสัยแค่ข้อเดียว…. การร่างรัฐธรรมนูญฉบับร่างกันเอง แล้วลงมติอย่างนี้ มันต่างอะไรกันกับการกระทำของคมช. สื่อถึงได้มีมุมมองที่ต่างออกไปในแง่ของความเป็นกลางในการนำเสนอได้เพียงนี้

ผมเกลียดสื่อกระแสหลักในเมืองไทย ที่ขาดจรรยาบรรณ จริงๆ แล้วเราอาจจะต้องถามหา “ยางอาย” ในการทำงานของสื่อเหล่านี้กันด้วยซ้ำไปสื่อเหล่านี้โอนอ่อนต่อการกดดันในทุกๆ รูปแบบตลอดมา แม้จะมีความรูปความสามารถก็ทำได้เพียงแต่การนำเสนอเรื่องราวของต่างประเทศ แต่พอเป็นเรื่องในประเทศที่จะช่วยให้ชาติเจริญได้แล้ว กลับมัวแต่เกรงใจจนมีแต่ข่าวน่าเบื่อ

หวังว่าการเปลี่ยนของอุตสาหกรรมสื่อที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ จะทะลักเข้ามาในไทยเร็วและแรงพอ พอที่จะล้างบางสื่อดั้งเดิมเหล่านี้ให้หมดไปจากระบบซักที

 

Plan

โดยส่วนตัวแล้วชอบ Picasaweb ค่อนข้างมาก โดยยกความดีให้กูเกิลสองอย่างคือหน้าจอที่ใช้งานตรงไปตรงมา และโปรแกรม Picasa ที่ให้ความรู้สึกเดียวกันได้เป็นอย่างดี

ตัวโปรแกรม Picasa เองนั้นส่วนที่ผมชอบสองสามอย่างคือ ระบบ Star ที่ใช้งานง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เวลาที่กดรูปมาเป็นพันๆ รูป สามารถคัดรูปออกมาเพื่ออัพขึ้นเว็บหรือเขียนซีดีแจกได้ง่ายมาก ยิ่งถ้าใช้วินโดวส์เวลาเขียนซีดีนี่ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ และสุดท้ายคือใช้บนลินุกซ์ได้ แม้จะใช้ซีพียูเยอะไปหน่อย กับเขียนซีดีไม่ได้ แต่การทำงานรวมๆ ของ Picasa ก็ดีมาก

แต่ด้วยความสัตย์จริง ปัญหาประการเดียวของ Picasa และ Picasaweb คือระบบการเก็บเงินที่เก็บตามพื้นที่ที่ใช้งาน ต่างจาก Flickr ที่เก็บตามปริมาณภาพที่อัพโหลดขึ้นไป

ความรู้สึกไม่มั่นคงกับลูกค้าเกิดขึ้นทันทีด้วยระบบการคิดเงินเช่นนี้ เพราะเขาต้องเสียเงินเพื่อรักษาภาพเดิมที่พวกเขาเคยแชร์อยู่บนเว็บ เทียบกับ Flickr ที่ลูกค้าจ่ายเงินเพื่อการใช้บริการอัพโหลดภาพขึ้นไปเท่านั้น

ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในความรู้สึกของผมแล้ว กูเกิลน่าจะเป็นบริษัทที่บริหารต้นทุนในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลได้ดีกว่า Flickr มาก โดยศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ และความชำนาญในการดูแลระบบคลัสเตอร์

ตัวเลขพื้นที่พื้นที่ 1 กิกะไบต์อาจจะมากพอที่จะใสภาพได้หลายพันภาพ แต่หาต้องมานั่งนึกว่าภาพที่ใส่ลงไปเยอะไปไหม ภาพจะเต็มพื้นที่ที่ซื้อไว้รึยัง หรือหากอัพเกรดแล้วต้องคิดว่าจะต้องไม่ลืมจ่ายเงินทุกปีๆ

ผมคงกลับไปใช้ flickr ในที่สุด