รู้ใจ

เวลาอ่านนิยายรัก คงเป็นเรื่องปรกติที่คู่แท้ในเรื่องจะสามารถสื่อใจถึงกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

เธออาจจะมองท้องฟ้าเมื่อคิดถึงเขา และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เขาก็อาจจะมองไปที่เมฆก้อนเดียวกัน ความรักและความรู้สึกที่ดีของเขาและเธอเหมือนไม่มีอะไรมากั้นกลางได้

โลกความเป็นจริงไม่สวยงามเช่นนั้น ในความเป็นจริงแล้วขณะที่เธอกำลังมองท้องฟ้า เขาอาจจะกำลังทำงานหามรุ่งหามค่ำหรืออาจจะดูหนังสักเรื่อง ความโรแมนติคในหนังนั้นน่าซึ้งใจเพราะในโลกความเป็นจริงแล้ว เราคงอยากได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนั้นนักครั้ง

แต่กลับมาในโลกความเป็นจริง มันจะเป็นเรื่องดีจริงๆ หรือหากหัวใจของเราโหยหาใครสักคน

เรามองท้องฟ้า แล้วถามฟ้าว่าอีกคนที่เราคิดถึงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ใครคนนั้นจะคิดถึงเราเหมือนกันบ้างไหม

เรื่องน่าเศร้าคือ ไม่ว่าอีกคนนั้นจะมองไปที่เมฆก้อนเดียวกับเราหรือไม่

ฟ้าก็ไม่เคยบอกเราแม้แต่ครั้งเดียว….

 

Feeling

เพิ่งเข้าใจว่าเรื่องหนึ่งที่ยากเวลาสร้างความสัมพันธ์กับใครสักคนคือเรื่องของการแยกความรู้สึกออกจากกัน

คงเป็นเรื่องปรกติที่เวลาเราเป็นห่วงใครสักคนแล้วพบว่าเขาไม่ได้ตอบสนองต่อความรู้สึกของเราในแบบที่เราอยากให้เขาทำ

นาทีนั้นความคิดคงผสมปนเปกันอย่างสับสน หลายครั้งเรามักจะคิดว่าเราไม่ได้สนใจต่อความรู้สึกของเรา หนักเข้าเราเองอาจจะคิดว่าเริ่มเกลียดเขาไปแล้ว

แต่เมื่อย้อนเวลากลับมาแล้ว สุดท้ายเราก็พบว่าความห่วงใยก็ยังเป็นความห่วงใยอยู่ นั่นแหละและที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้เกลียดอะไรเขาหรอก

 

สิทธิในการกระทืบ

ไม่มีอะไรมากครับ แต่อยากจะบอกพวกอ้างสิทธิในการกระทืบว่าจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นการติดคุกสักสามสี่ปีนี่ มันแสดงความไร้อารยธรรมอย่างเหลือเชื่อ

ไม่มีกฏหมายข้อไหนระบุให้การไปกระทืบคนอื่นเป็นสิทธิพึงมีของคนไทยคนใดๆ การกระทำผิดคือการกระทำผิด และโทษไม่ใช่ค่าธรรมเนียม คนที่บอกว่าสามารถกระทืบคนอื่นได้เพราะยินดีจะติดคุกไม่ต่างอะไรจากพวกคนรวยเลวๆ ที่ฝ่าไฟแดงแล้วยอมจ่ายค่าปรับ

ความชั่วคือความชั่ว การชดใช้ไม่ได้ทำให้ความชั่วมันหายชั่วแม้แต่น้อย

 

ช่างแม่งเหอะ

ขออภัยล่วงหน้าที่ขึ้นหัวข้อไม่สุภาพ พอดีอ่านบล็อกของ Plynoi แล้วนึกถึงตัวเองตอนถ่ายภาพ

รอบตัวผมมีไม่กี่คนที่ถ่ายภาพเป็นอาชีพครับ ตัวผมเองก็ถ่ายไว้ดูเอง ให้เพื่อนดูบ้างเป็นครั้งคราว แต่บางทีเจอเพื่อนร่วมทริปที่ไปถ่ายภาพด้วยกันแล้ว บางครั้งผมนึกในใจว่า มันจะสนุกตรงไหนล่ะนี่…. โดยเฉพาะเวลาโดนถามเซ้าซี้แบบ

  • อ่าว ไม่ถ่าย RAW เหรอ แล้วภาพจะชัดเหรอ?
  • ไม่ชดเชยเพิ่มอีกสักครึ่งสตอปล่ะ เดี๋ยวไม่พอดีนะ
  • เลนส์ตัวนี้ดีเหรอ ไม่ซื้อตัวใหญ่กว่านี้ล่ะ XXX ก็ดังดีนี่
  • ทำไมใช้ยี่ห้อ XXX ล่ะ YYY สีดีกว่าตั้งเยอะ ทนก็ทนกว่า บลาๆๆๆๆๆๆๆ……..
  • ถ่าย iso สูงแล้ว noise ไม่เยอะเหรอ

เลยมาสร้างแนวทางการถ่ายภาพแบบ “ช่างแม่งเหอะ”  ดังนี้

  •  ถ่ายภาพความละเอียดตามใจฉัน จะถ่าย RAW เมื่อมีวันหยุดยาวแล้วรู้ว่าหาสาวไปเที่ยวด้วยไม่ได้ ถ้าคุณมีอะไรทำมากมายมหาศาล แต่ยังถ่าย RAW ทุกรูปโดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะว่างมาแต่ง แล้วต้องทนทุกข์กับเวลาไม่มีที่เก็บภาพมันจะสนุกตรงไหน
  • กดๆ ไป ตั้ง continue ยิงรัวไปเลยก็ได้ ไม่ต้องคิดมาก ก็มันถ่ายไม่แม่นให้ทำไงอ่ะ
  • ตั้ง iso สูงๆ เมื่อแสงน้อย ก็ ภาพมันมืด ตั้ง iso สูงมันผิดตรงไหน noise น่ะเอาเข้าจริงอาม่าที่บ้านเค้าไม่สนหรอก ขาตั้งกล้องอยากแบกก็แบก วันไหนไม่อยากแบกก็โยนมันไว้ใต้เตียง
  • ซื้อเลนส์แบบอยากใช้ เอาแบบเบาๆ ถ่ายสบาย จ่ายแพงซื้อเลนส์โปรแล้วต้องลำบากมาแบก ลำบากมาดูแล ซื้อมาทำไม?

ประเด็นคือกล้องเนี่ย “เรา” ซื้อ “มัน” มาใช้งาน สำหรับผมแล้วผมซื้อมันมาเพื่อความ “บันเทิงใจ” ส่วนตัว และผมเชื่อว่าคนไม่น้อยคิดแบบนี้ ผมไม่ได้ซื้อเทพเจ้ามาบูชาไว้หัวเตียง

หลายครั้งทีเดียวที่คำวิจารณ์ ที่ได้รับมาเป็นเรื่องที่ดีมาก เช่นเรื่องมุมมอง หรือแนวคิดการถ่ายภาพ แต่บ่อยครั้ง (เกินไป) ที่ผมเห็นเพื่อนักถ่ายภาพติดอยู่กับความละเอียดของภาพ ความสมบูรณ์เมื่อขยายด้วยกำลังขยายสูงสุด ฯลฯ เท่านั้นไม่พอยังพยายามกดดันให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามไปด้วย

คิดไรมาก ถ่ายภาพมาแล้วอย่างน้อยๆ คุณมองภาพแล้วสบายใจตัวเองที่ได้ย้อนความหลังไปในช่วงเวลาดีๆ

มันก็พอแล้วหนิ