Global Warming

ผมเป็นคนที่เกลียดการแนวคิดการมองว่าคนอื่นโง่เลยต้องหลอกอย่างหวังดีเพื่อให้คนโง่ทำเรื่องดีๆ เป็นอย่างมาก การที่เรามีปัญหาแล้วมีคนไม่เข้าใจแล้วเราอยากให้เขาเข้าใจ หน้าที่เราคือการพยายามทำความเข้าใจ ไม่ใช่การไปหลอกให้เขาทำอย่างที่เราอยากทำ โดยยังขาดความเข้าใจกันต่อไป

กระแสเรื่องโลกร้อนเป็นอีกเรื่องที่นับว่าน่ารำคาญอย่างมากในสายตาของผม เราเอาปัญหาระดับโลกไปผสมปนเปกับหลายๆ อย่างแล้วไปโจมตีธุรกิจบางอย่างโดยไม่ดูข้อเท็จจริง

งานนี้ผมเลยลองมาเรียบเรียงข้อเท็จจริงเกี๋ยวกับภาวะโลกร้อนมาดู ออกตัวไว้ก่อนว่าบทความนี้เป็นการรวบรวมความคิดเบื้องต้น และผมยังไม่ได้ค้นคว้าแหล่งที่มาให้เรียบร้อย ไว้จะกลับมาทำอีกทีครับ

  1. ภาวะโลกร้อนหมายถึงความร้อนเฉลี่ยของโลกร้อนขึ้น โดยในช่วงร้อนกว่าปีที่ผ่านมาตัวเลขความร้อนนี้อยู่ที่ไม่ถึง 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น
  2. กระนั้นความร้อนบางส่วนของโลกก็ร้อนขึ้นมากกว่าส่วนอื่นๆ อาจจะเนื่องจากชั้นโอโซนในแถบต่างๆ ด้วย
  3. จนถึงวันนี้ ภาวะโลกร้อนยังไม่มีผลให้น้ำท่วมโลกอย่างที่กลัวกัน
  4. ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อโลกร้อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่ด้วยซ้ำไปว่ามันเป็นผลร้ายต่อโลกจริงหรือไม่ หลายกระแสระบุว่าโลกอาจจะมีพื้นที่เพาะปลูกและอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมากก็เป็นได้
  5. ปัญหาคือการที่โลกร้อนขึ้นมันไม่ได้ทำให้เย็นลงได้ในเวลาอันสั้น เลยไม่มีใครอยากลองดูว่าโลกร้อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
  6. น้ำท่วมบริเวณภาคกลางไทย ที่น้ำท่วมนั้นเกิดจากแผ่นดินทรุด เนื่องจากการใช้น้ำบาดาลมากเกินไป ไม่เกี่ยวกับโลกร้อน
  7. ทะเลสาปอาราลที่ยุโรป น้ำก็แห้งเหือดไปมหาศาล เนื่องจากการผันน้ำไปใช้เพื่อการเกษตร ไม่เกี่ยวกับโลกร้อนเหมือนกัน
  8. โลกร้อนขึ้นเนื่องจากการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ
  9. คาร์บอนที่ถูกปล่อยขึ้นไปส่วนมากมาจากการผลิตพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า
  10. ถุงพลาสติกเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ใช้วัสดุอย่างคุ้มค่าที่สุด เพราะผลิตได้ง่าย ใช้วัสดุเพียงเล็กน้อย
  11. แก้วกระดาษก็ใช้พลังงานในการผลิตเช่นเดียวกัน และไม่มีข้อยืนยันว่ามันใช้พลังงานในการผลิตต่ำกว่าถุงพลาสติก และหลายกระแสอ้างว่าหีบห่อกระดาษน่าจะเป็นต้นเหตุของคาร์บอนในปริมาณที่มากกว่า
  12. ถุงผ้านั้นเวลาผลิตขึ้นมาสร้างคาร์บอนมากกว่าถุงพลาสติกหลายต่อหลายเท่าตัวแน่นอน น่าสนใจว่าถุงที่รนรงค์ให้ใช้กันนั้นมีการใช้ซ้ำกันซักกี่รอบ และโลกได้ประโยชน์จริงหรือไม่
  13. หลอดประหยัดไฟใช้พลังงานในการผลิตมากกว่าหลอดไส้ตามปรกติ ไม่มีข้อยืนยันว่าพลังงานที่เสียไปนั้นจะคุ้มค่าในกี่ชั่วโมงการใช้งาน
  14. สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศหนึ่งในสามของโลก
  15. ไบโอดีเซลมีข้อดีในประเด็นของความมั่นคงทางพลังงานอย่างชัดเจน แต่ไบโอดีเซลก็ใช้พลังงานในการผลิตที่ไม่ชัดเจนว่าน้อยกว่าการผลิตน้ำมันตามปรกติหรือไม่ แต่เวลาใช้ในรถแล้วก็สร้างคาร์บอนพอๆ กับน้ำมันปรกติ ดังนั้นคงเอาไปอ้างเรื่องโลกร้อนได้ไม่เต็มปาก
  16. ก๊าซธรรมชาติก็ปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศเหมือนกัน มันไม่ได้รักษาเรื่องโลกร้อนแต่อย่างใด
  17. โรงงานไฟฟ้าถ่านหิน เป็นแหล่งพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด โรงงานแบบสะอาดที่ติดตั้งเครื่องกรองมักหมายถึงการกรองกำมะถันซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพ อีกครั้งที่การทำเช่นนั้นยังไม่ได้ช่วยเรื่องโลกร้อนอยู่ดี
  18. โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่สร้างคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ที่เห็นปล่องใหญ่ๆ มีควันนั้นเป็นไอน้ำ
  19. พลังงานแสงอาทิตย์จะคืนพลังงานในการผลิตในเวลาประมาณ 18 เดือน
 

สุดท้ายแล้ว x86 ก็ครองโลก

ผมเล่นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในชีวิตคือ 8086 สมัยจอสีเขียวๆ ไว้เล่นเกมกบกระโดด  จังหวะชีวิตผมพอเหมาะพอที่จะมีญาติเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในช่วงที่ผมเป็นเด็ก เลยได้เข้าถึงเทคโนโลยีมากกว่าคนจำนวนมาก จุดที่น่าสนใจคือช่วงประถมปลายที่ผมได้จับเครื่อง 386SX เครื่องแรกในบ้าน  หลักจากเล่นไปซักพักใหญ่ๆ แล้ว คนก็เริ่มถามกันว่าชิปอะไรจะมาแทนที่มันต่อไป

สำหรับคนเล่นคอมโดยทั่วไปคงตอบได้ไม่ยากว่าก็ 486 แล้วก็ Pentium นั้นปะไร

แต่เรื่องที่เราไม่ทันสังเกตกันคือ จริงๆ แล้วชุดคำสั่งในชิปรุ่นต่อๆ มานั้นไม่ต่างอะไรเลยจากชิป 386 ที่เราใช้งานกัน

ชุดคำสั่งที่ว่านั้นชื่อจริงๆ มันคือ Instruction Set Architecture (ISA) เป็นการออกแบบในเบื้องต้นว่าโปรแกรมที่ไปรันบนซีพียูจะเห็นคำสั่งอะไร และรีจิสเตอร์ให้ใช้งานบ้าง โดยทั่วไปแล้วในช่วงเริ่มแรก คำสั่งเหล่านี้ก็ผูกติดกับการออกแบบฮาร์ดแวร์โดยตรง เช่นรีจิสเตอร์ก็มีเกือบๆ เท่ากับที่มีในซีพียู หรือคำสั่งก็เป็นคำสั่งที่สะท้อนความสามารถของ ALU ว่าทำงานอะไรได้บ้าง

แต่ความนิยมอย่างล้นฟ้าของชิป 386 และลูกหลานของมันที่ใช้ ISA เดียวกันก็เรื่อยมา ทำให้โปรแกรมจำนวนมากที่เขียนในเครื่องรุ่นใหม่ๆ ในวันนี้ยังคงนำกลับไปใช้กับเครื่อง 386 ได้เหมือนเดิม (แต่อาจจะช้าจนรับไม่ได้)

เรื่องน่าสนใจคือชิปตระกูล x86 ที่เราบอกว่ามันทำงานเข้ากับ 386 เช่น Core Duo นั้น ไม่ได้ใช้ฮาร์ดแวร์แบบ 386 เดิมๆ อีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับ AMD Opteron ก็มีสถาปัตยกรรมภายในที่ซับซ้อนกว่าวันแรกที่ i386 ถูกออกแบบขึ้นมามหาศาล  เพราะผู้ผลิตเองก็รู้ว่าเทคนิคที่ใช้ออกแบบชิป 386 นั้นมีจุดที่สามารถปรับปรุงได้จำนวนมาก

ชิปรุ่นหลังๆ จึงนำคำสั่งของ x86 มาแตกออกเป็นคำสั่งย่อยๆ ในชื่อ Micro-Opertation ซึ่งรูปร่างหน้าตาง่ายกว่าคำสั่งของ x86 เองมาก แล้วรันคำสั่งนั้นในรูปแบบที่นักออกแบบรุ่นเก่าๆ ไม่ได้คิดเอาไว้ เช่นการรันหลายคำสั่งพร้อมๆ กัน การสลับตำแหน่งคำสั่งเพื่อเพิ่มความเร็ว การเพิ่มรีจิสเตอร์ภายในเพื่อเก็บค่ารอคำสั่งที่ยังไม่เสร็จ ฯลฯ

ให้พูดอีกทีคือชิป AMD กับ Intel ในวันนี้จริงๆ แล้วแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนอกจากชุดคำสั่งที่ทำงานร่วมกันได้

นอกจากสองค่ายใหญ่แล้ว เรายังมี VIA ที่ช่วงหลังๆ ผงาดขึ้นมาด้วยการแยกสายไปผลิตชิปกินพลังงานต่ำ และกระแสมาบูมขึ้นมหาศาลในช่วงปีสองปีมานี้

ชิปที่เราเห็นแทบทุกตัวนั้นการออกแบบภายในต่างกันหมด และมีส่วนการแปลคำสั่งจาก x86 ให้กลายเป็นคำสั่งที่นักออกแบบของแต่ละบริษัทออกแบบมา นักออกแบบหลายๆ คนเองก็รำคาญใจที่ต้องมานั่งแปลคำสั่งก่อนการทำงานแบบนี้ เพราะมันลดประสิทธิภาพชิปไปส่วนหนึ่ง แม้จะไม่มาก แต่ในโลกการแข่งขันถ้าได้ความเร็วคืนมาซัก 5 เปอร์เซ็นต์หลายคนก็ดีใจแล้ว แต่คำสั่ง x86 ก็แทบจะทำตัวเหมือนจาวาในโลกฮาร์ดแวร์ไปแล้ว ด้วยแนวคิดที่ว่าไม่ว่าคุณจะออกแบบฮาร์ดแวร์ยังไง ถ้ามันใช้คำสั่ง x86 ได้ จะมีโปรแกรมให้ใช้งานจำนวนมากบนชิปของคุณ

Intel นั้นพยายามตีตัวออกห่างจาก x86 มานานด้วยสถาปัตยกรรม Itanium ที่ออกไปได้ไม่นาน AMD ก็ดัดหลังด้วยการออก Opteron พร้อมส่วนขยาย AMD64 ที่น่าสนใจคือคำสั่งนั้นยังทำงานร่วมกับ x86 เดิมได้เป๊ะๆ

อินเทลแยกทางไปได้ไม่นานก็รู้ว่าลูกค้าไม่เอาด้วย เพราะโปรแกรมจำนวนมากนั้นอยู่บน x86 แล้ว และไม่มีใครอยากทำงานเพิ่มเพื่อย้ายไปสถาปัตยกรรมใหม่ จึงต้องรีบกลับมาอยู่ฝั่ง x86 ต่อไป ส่วนทาง AMD นั้นก็กอบโกยไปได้พักใหญ่ จนตัวเลขผลกำไรขึ้นสีเขียวเป็นที่ชื่นใจของผู้ถือหุ้น

ข้อดีของการที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันบน x86 นั้นคือนักพัฒนาไม่ต้องมานั่งดูว่าตัวเองอยู่บนสถาปัตยกรรมอะไร และจะมีโปรแกรมไหนให้ใช้งานบ้าง อย่างในวันนี้เองผมใช้ Ubuntu บน Core 2 Duo ถ้าพรุ่งนี้ผมไปใช้เครื่อง VIA ผมก็จะรู้ว่าผมมีโปรแกรมแบบเดียวกันให้ใช้งานต่างกันแค่ความเร็วเท่านั้น

ช่วงหลังๆ ยิ่งหนัก เมื่อเราเห็นชิปจีนหลายรุ่นเริ่มมีชิป x86 ออกมาวางตลาด เราเดาได้ไม่ยากว่าในอีกปีสองปีนี้เราจะได้ใช้ชอปตระกูล x86 ไปตั้งแต่ MID, UMPC, Notebook, PC, ไปจนเซิร์ฟเวอร์

ที่น่าเดากันคือมือถือจะเอากับเค้าด้วยหรือไม่?

 

Twitter Platform

I think about this from a few days ago. From a node in Blognone talking about the price of SMS is skyrocketted. It’s unreasonable expensive, no guarantee in any aspect you message may delayed forever.

@sugree has been develop #jiblib quite a long time. It’s work well and cost competitive.

From my aspect, #jiblib has an extraordinary potential to applied in the realworld other than a global-single-room IRC. :P We’re talking about a low cost and quite real-time data platform.NN

Nowadays EGPRS fee is about 3.5 baht per hour if we use #jiblib to report something like pizza motorcycles’ location, TAXIs, or Trucks.

Use case:

– Tony want to call a taxi to pick him at his home

– Tony call TAXI’s callcenter and tell it his location.

– The callcenter broadcast this message to all associated TAXIs’ driver.

– Serveral  drivers reply back.

– The callcenter check all drivers’ location with the recently report in location.

– The calcenter pickup the nearest one and sent the comfirmation

– Tony now can check the informations about his TAXI through the Web or telephone. The information including ETA, license number, and the TAXI’s appearance.

– Tony got his taxi and go to his destination.

The main advantage is about the cost. The mentioned process may need about 10-100 message which is irreasonable. But with GPRS, it will cost no more than a fraction of baht.

 

คำแนะนำ?

เมื่อปีที่แล้วผมมีโอกาสไปท่องอีสานไปครึ่งภาค เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือป้ายเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดนั้นหายไป

เหลือแต่เลี้ยวซ้ายเมื่อปลอดภัย

คำถามคืออะไรคือปลอดภัย??????

ถ้าผมเลี้ยวอย่างระวัง แล้วมีมอเตอร์ไซต์ออกมาจากซอย พุ่งมาชนรถผม ผมจะผิดกฏจราจรรึเปล่า แต่ถ้าผมไม่มีเบรก แต่ปาดซ้ายเลี้ยวไปไม่มองใครแล้วไม่ชน อย่างนั้นเรียกว่าปลอดภัยไหม

ข้อเท็จจริงคือโลกนี้มีความเสี่ยง การกระทำที่ปลอดภัยที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุได้ เช่นเดียวกับการฝากเงินที่ธนาคารที่ธนาคารก็เจ๊งได้เหมือนกัน

สิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่คาดหวังว่าจะทำทุกอย่างให้ปลอดภัย แล้วบอกกับท้องฟ้าว่ามันต้องปลอดภัยเพราะเราทำอย่างปลอดภัย หรือไปด่าว่าคนอื่นว่าประมาทเพราะเขาพลาดพลั้ง ทั้งที่เขาอาจจะทำอย่างปลอดภัยที่สุดแล้ว

สิ่งที่เราทำคือประเมินอย่างระมัดระวัง เตรียมการถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ แล้วรับผลของการตัดสินใจอย่างเต็มภาคภูมิ