วันนี้อินเทลโทรมาว่าจะส่งหมีมาให้
ตัวขาวเป็นของมาร์ค ตัวดำเป็นของผม
วันนี้อินเทลโทรมาว่าจะส่งหมีมาให้
ตัวขาวเป็นของมาร์ค ตัวดำเป็นของผม
b1 – พวกฝรั่งนี่มันบ้าฟ้องศาลกันเนอะ
b2 – ทำไมอ่ะ?
b1 – เคยมีอ่ะ พวกขับรถไปชนเสาไฟฟ้า มันฟ้องเทศบาลได้ด้วยนะว่าวางเสาไฟฟ้าผิดที่ ได้เงินด้วย
b2 – อืม แต่จริงๆ แล้วมันก็มีกฏหมายจริงๆ นี่ว่าจะวางเสา หรือต้นไม้ในเขตทางหลวงได้ยังไงบ้าง
b1 – มีไว้ทำไมอ่ะ?
b2 – ก็พวกนี้บางทีอุบัติเหตุมันลดลงได้ อย่างเราต้นไม้ใหญ่ๆ ไปวางติดขอบทางหลวง ขับพลาดแค่นิดเดียวก็ถึงตายแล้ว
b1 – แล้วเมืองไทยไม่มีใครฟ้องมั่ง?
b2 – คนไทย พอต้นไม้มันมีคนชนตายมากๆ ก็เอาผ้าสีไปพันให้ไง…
เรื่องน่าสนใจมากในประเด็นของพฤติกรรมมนุษย์คือเรามีเหตุผลอะไร ที่จะทำอะไรและไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่งกัน?
ผมไม่เชื่อว่าพฤติกรรมนั้นสามารถอธิบายด้วยเหตุผลง่ายๆ สั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ความหลากหลายมันมีมากเกินกว่าที่เราจะบอกได้ว่าใครทำอะไรเพราะอะไร เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนชอบกินก๋วยเตี๋ยวจะกินอะไรในมื้อต่อไป เราไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุผลที่เขากินอะไรในมื้อต่อไปเป็นผลมาจากเหตุอะไร
ผมเกลียดคำพูดประเภทเชิงวิเคราะห์ที่ยืนยันชัดเจนว่าคนอื่นทำอะไรเพราะอะไรประหนึ่งไปนั่งอยู่กลางใจผู้ที่ถูกกล่าวถึง หรือการไปบอกว่าถ้ามีเหตุอะไรแล้วคนอื่นจะทำอะไร ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่น่าจะบอกได้ชัดเจนอย่างนั้น
แน่นอนว่าผมเองก็มีพลาดทำอย่างนั้นเองเหมือนกัน
หลังๆ นี้เราเริ่มเหตุข้อความแบบ “ถ้า [ใคร] ทำ [อะไร] แล้ว [ใครอีกคน] ก็จะ [ทำอะไรอีกอย่าง]” ข้อความเหล่านี้เริ่มแสดงความอวดรู้ อวดดีในชุมชนกันมากขึ้นเรื่อย โดยไม่มีเหตุอื่นๆ ในเชิงวิชาการใดๆ มารองรับ
ทำไมผมถึงเกลียดคำพูดแบบนี้
– มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะพูด สุดท้ายเมื่อมันไม่เป็นจริง เราก็อ้างหาเหตุผลใหม่ได้อยู่ดี
– คำพูดแบบนี้มักเป็นคำในเชิงการดูถูกคนอื่น มันไม่เปิดโอกาสให้ใครแก้ตัว เพราะเหตุมันยังไม่เกิดขึ้น
การคาดการณ์แบบเดาสุ่มนี้ต่างจากการ ทำนายตามหลักวิชาการ ที่มักมีข้อมูลประกอบ เมื่อเหตุผลนั้นไม่เป็นจริง คนที่รับฟังไปจากเราจะเริ่มตั้งคำถามว่าการให้เหตุผลของเราดีพอหรือไม่ และต่อให้เหตุนั้นไม่เกิด การโต้แย้งก็ยังเกิดขึ้นได้จากการให้เหตุผลในข้อมูลของเราเอง
เรื่องหนึ่งที่บ้านเรามีปัญหาทั้งในเชิงวิชาการและอุตสาหกรรมคือเรื่องของการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
ประเด็นเช่นนี้ผมเป็นประเด็นที่ผมบ่นๆ มาได้หลายปีแล้ว และเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เช่นงาน ECTI-CON ที่ผมช่วยโปรโมทใน Blognone ตอนนี้เอง
ปัญหาอย่างหนึ่งของงานที่สร้างความแลกเปลี่ยนอย่างนี้คือการที่เราต้องการพื้นที่เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น พร้อมๆ กับค่าใช้จ่ายในการเข้าแลกเปลี่ยนที่ต่ำลง
เพราะเราไม่ได้พูดถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่มีเงินถุงเงินถังส่งพนักงานไปร่วมงานประชุมวิชาการ หรือเข้าร่วมงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ แต่เรากำลังพูดถึงนักศึกษามือดีที่มีไอเดียแต่ไม่สามารถทำตลาดสินค้าของตัวเองได้ หรือบริษัทขนาดเล็กๆ ที่ทำสินค้าเฉพาะทางและไม่มีกำลังในการโปรโมทมากมายนัก
อย่าว่าแต่ค่าเข้าร่วมไม่กี่พันบาท คนกลุ่มนี้นั้นหลายๆ ครั้งแล้วแม้แต่งานสัมมนาฟรีก็ไม่สามารถไปเข้าร่วมได้เนื่องจากไม่พร้อมที่จะให้พนักงานหยุดงานไป…
เราต้องการระบบใหม่ที่ราคาถูกลง การพบกันต่อหน้าที่มีค่าใช้จ่ายต่ำมากๆ จนใกล้ศูนย์ วิธีการที่คนเหล่านี้จะแสดงความ “เจ๋ง” ของตัวเองออกมาโดยหยุดงานไม่เกินครึ่งวัน ทำอะไรง่ายๆ สั้นๆ แต่สร้างกระแสความสนใจได้หากสินค้านั้นมีคุณค่าในตัวของมันเอง
ไอเดียคร่าวๆ ที่ผมกำลังหาทางดันๆ อยู่ตอนนี้อย่าง
– BarCamp วิชาการ ขณะที่ BarCamp ของไทยตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นงานที่เน้นการมีส่วนร่วมของคนจำนวนมากไปแล้ว ผมกำลังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะเอากระบวนการแบบ BarCamp มาใช้แทนงานประชุมวิชาการต่างๆ การพูดเป็นการพูดง่ายๆ สั้นๆ แต่น่าสนใจ ค่าใช้จ่ายงานที่ต่ำๆ
– Blognone Project ตอนหลังๆ นี้เริ่มเงียบๆ ไป เราคงต้องพยายามดันมันขึ้นมากันอีกครั้ง
ปล. ช่วงนี้กำลังเขียน Paper อย่างบ้าเลือด ผมหายตัวไปสักพักนะครับ